iPhone 5,iPad mini เปิตดัว 12 ก.ย. นี้


รายงานข่าวล่าสุดที่อ้างว่า มาจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ เพราะเคยให้ข่าวได้อย่างถูกต้องแล้วก่อนหน้านี้ระบุ แอปเปิ้ล (Apple) จะเปิดตัวไอโฟนรุ่นใหม่ (iPhone 5 ?) ตามด้วยไอแพด มินิ (iPad mini) ในวันที่ 12 กันยายน 2012 ซึ่งหลังจากมีรายงานข่าวออกมาหุ้นแอปเปิ้ลก็พุ่งขึ้นทันที
Rene Ritchie จาก iMore อ้างว่า เขาได้ข้อมูลมาจากแหล่งข่าวที่เคยให้ข้อมูลอย่างถูกต้องมาแล้วในอดีตว่า ทั้ง iPhone 5 และ iPad mini จะประกาศเปิดตัวในวันที่ 12 กันยายน แต่จะมีเพียงไอโฟนเท่านั้นที่เริ่มวางตลาดหลังจากนั้น 9 วัน หรือวันที่ 21 กันยายน ส่วนไอแพดมินิยังไม่ได้มีการระบุกำหนดการวางตลาดที่ชัดเจนออกมา อย่างไรก็ดี ข้อมูลเกี่ยวกับกำหนดเปิดตัวที่ Ritchie ได้ให้ข่าวมานั้น สอดคล้องกับข่าวลือที่ว่า iPhone 5 จะเปิดตัวในช่วงกันยายน และ iPad mini จะวางตลาดในช่วงวันหยุดปลายปี

สำหรับข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับ iPhone 5 โดยรวมจะคล้ายกับ iPhone 4S แต่จะบางกว่าเล็กน้อย และมีหน้าจอทีใหญ่ขึ้น เชื่อมต่อด้วย 4G LTE (เช่นเดียวกับ iPad รุ่นล่าสุด) พอร์ตด็อค 19 พินแทนที่จะเป็น 30 พินแบบทีใช้ใน iPhone, iPod touch และ iPad รุ่นปัจจุบัน ลาก่อนที่ชาร์จอันเก่า และเตรียมเงินไว้ซื้อพอร์ตอะแดปเตอร์ (ถ้ามีนะ :D) ส่วน iPad mini จะมีขนาด 7.8 นิ้ว จอแสดงผลปกติไม่ใช่ retina display และสนนราคาอยู่ที่ประมาณ 249.99 เหรียญฯ (7,500 บาท) เพื่อต่อสู้กับ Nexus 7 ของ Google ในส่วนของกำหนดการเปิดตัว แหล่งข่าวบางแห่งได้มีการเปิดเผยว่า แอปเปิ้ลมีกำหนดการจัดงานในช่วงวันที่ 12 กันยายน ด้วยเหมือนกัน

เปิดร้านค้าออนไลน์กับเว็บไซต์ไหนดี

มีคนสอบถามหลังไมค์ มายังคนออฟฟิศเยอะเหลือเกิ๊น ว่าถ้าเปิดร้านจะเปิดกับที่ไหนดี
แล้วเปิดที่ไหนถึงจะคุ้ม อันนี้ก็ตอบยากจริง ๆ น่ะ เปิดที่ไหนถึงจะคุ้ม เราต้องคำนวณ
ถึงจำนวนสินค้าที่เรามี และกำไรสินค้าต่อชิ้นเรานั้นอยู่ที่เท่าไหร่
การเปิดร้านค้า ไม่ใช่จะเปิดที่ไหนก็เปิดได้น่ะค่ะ เพราะบางที เราเปิดไปแล้วแต่ ต้นทุนไม่คุ้มกับกำไร
ดังนั้นวันนี้ Khonoffice ได้ทำการค้นหาข้อมูลมาให้เพื่อน ๆ ได้ทราบกันค่ะ พิจารณาจะเปิดจากที่ไหน ก็ลองดูน่ะ
Khonoffice ไม่ได้มีส่วนได้ ส่วนเสียอะไรจากการนำข้อมูลเหล่านี้ทั้งนั้น ดังนั้นมาเริ่มกันเลย
1. เปิดร้านกับ weloveshopping.com
การเปิดร้านกับ weloveshopping.com คงไม่มีใครไม่รู้จักกันใช่ไหมค่ะ เป็นอีกนึงธุรกิจในเครือ True ที่เพิ่ง TakeOver มา
แล้วนำมาปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน ซึ่งเป็นไปได้อย่างสวยงามเลยทีเดียว
หลักการทำงานของ Weloveshopping
1. เราต้องสมัครสมาชิก เพื่อทำการเปิดร้านค้าออนไลน์
2. เลือก Package การเปิดร้าน ที่มีให้เลือกถึง 5 Package
- Free Package ฟรี จำนวนสินค้า 30 ชิ้น เหมาะสำหรับร้านเล็ก ๆ ที่ต้องเปิดร้านเพื่อทดลองขายสินค้า แต่มีข้อจำกัดอีกเยอะแยะมากมาย เช่น การทำการตลาด การทำ SEO ที่ยังไม่สนับสนุน ซึ่งเราต้องเพิ่มเงินในส่วนของการโฆษณาตรงนี้อีก
- Standard เสียค่าใช้จ่าย 400/ปี จำนวนสินค้า 50 ชิ้น เหมาะสำหรับร้านค้าที่กลาง ๆ
- Premium เสียค่าใช้จ่าย 700/6 เดือน 1,200/ปี จำนวนสินค้า 200 ชิ้น
- Exclusive มีให้เลือกหลายแบบ หลายราคา 1,000/6เดือน 1,800บาท/ปี ลงสินค้าได้ 100 ชิ้น แถมใช้ชื่อโดเมนเป็นของตนเองได้ด้วย
- Platinum 5,500 บาท/ปี ลงข้อมูลได้อย่างไม่จำกัด ใช้ชื่อโดเมนเป็นของตนเองได้ด้วย
3. ลูกค้าสามารถชำระเงินให้กับผู้ขายได้โดยตรง หรือจะชำระค่าสินค้าผ่านระบบ WeTrust โดยจะเสียค่าธรรมเนียม ประมาณ 4.75% ของยอดรายได้ ซึ่งระบบ WeTrust นี่ จะสร้างความเชื่อมั่นทางด้านผู้ซื้อและผู้ขายได้ว่า จะได้รับผู้ซื้อจะได้รับสินค้า และผู้ขายจะได้รับเงินค่าสินค้าแน่นอน
วันนี้เอาไปก่อนแคนี้แล้วกันน่ะค่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะนำรายละเอียด อีก 2 เว็บคือ Tarad.com และ shopping.sanook.com มาให้พิจารณาอีกน่ะค่ะ ที่เว็บไซต์ weloveshopping เปิดไม่ยาก แต่ก็มีหลายคนที่เปิดแล้ว ก็ไม่เข้าไปทำอะไร ไม่ทำการตลาด แล้วจะขายสินค้าได้อย่างไร ยังไงลองวางแผนให้ดีก่อนน่ะ

กูเกิ้ลให้ใช้ลายมือแทนพิมพ์ด้วยคีย์บอร์ด

แม้กูเกิ้ล (Google) บนอุปกรณ์โมบาย (ไอโฟน ไอแพด สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต แอนดรอยด์) จะเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถป้อนคำค้น (keywords) ด้วยการพิมพ์ผ่านคีย์บอร์ด หรือสั่งค้นด้วยเสียง (voice search) ได้แล้ว ล่าสุดทางบริษัทได้เพิ่มความง่ายในการป้อนคีย์เวิร์ดที่ใช้ในการค้นให้ง่ายขึ้นไปอีกด้วยการเพิ่มฟังก์ชัน Handwrite หรือการใช้นิ้ว หรือสไตลัส "เขียนคำค้นด้วยลายมือ" ได้อีกทางหนึ่ง...ว้าว!!!

ผู้ใช้ Google บนอุปกรณ์โมบายจะได้รับความสะดวกในการใช้งานยิ่งขึ้น เพราะเพียงแค่แตะปุ่มคำสั่งใหม่ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถป้อนคำค้นด้วยการเขียนด้วย "ลายมือ" ของตนเอง (ใช้สไตลัส หรือนิ้วก็ได้) แทนการพิมพ์ หรือสั่งด้วยเสียง ข้อมูลจากบล็อกของกูเกิ้ลระบุว่า การที่ผู้ใช้สามารถเขียนคำค้นที่ต้องการบนบริเวณไหนบนหน้าจอก็ได้เป็นเรื่องที่เยี่ยมมาก เนื่องจากไม่ต้องเสียพื้นที่ให้คีย์บอร์ดขึ้นมากินพื้นที่บนหน้าจอถึงครึ่งหนึ่ง และไม่ต้องคอยมองหาปุ่มที่ต้องการพิมพ์ อีกทั้งยังสะดวกกว่าการพิมพ์ในเวลาที่อยู่ในสถานที่ไม่เอื้ออำนวยให้พิมพ์ได้โดยง่าย แต่ด้วย Handwrite คุณสามารถใช้นิ้วเขียนคำค้นด้วยลายมือของคุณขึ้นไปบนหน้าจอได้เต็มๆ ช่างสะดวกง่ายดายจริงๆ

Handwrite มีความฉลาดในการแยกตัวอักษรจากคำที่เขียนในแบบตัวอักษรลากต่อเนื่องกันไป เพื่อวิเคราะห์ว่ามันหมายถึงคำว่าอะไรได้อีกด้วย แทนทีผู้ใช้จะต้องยกมือเขียนทีละตัวอักษร อย่างไรก็ตาม Handwrite คงไม่สามารถเข้ามาแทนที่การป้อนคำค้นด้วยคีย์บอร์ด หรือเสียง และมันคงไม่เหมาะกับทุกคน แต่มันเป็นลูกเล่นที่เพิ่มเข้ามาเท่านั้น เพราะคุณยังต้องแตะปุ่ม เพื่อวรรค และลบอยู่ดี สำหรับคุณผู้อ่านเว็บไซต์ arip ที่สนใจอยากลองใช้ฟีเจอร์นี้ ให้ใช้อุปกรณ์โมบายเปิดบราวเซอร์แล้วคลิกเข้าไปที่ Google.com จากนั้นแตะปุ่ม Settings ที่ด้านล่าง เลือก Handwrite คลิก Save ที่ด้านล่างของหน้าเว็บ เพียงแค่นี้ก็สามารถใช้ฟังก์ชัน Handwrite ได้แล้ว เวลาใช้ให้แตะที่ตัวอักษร g ที่มุมล่างขวา ลองใช้ดูนะครับ อ้อ...เกือบลืมไป สำหรับสมาร์ทโฟนที่จะใช้ฟังก์ชันนี้ได้ต้องทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ iOS 5 หรือ Android 2.3 ขึ้นไป ส่วนแท็บเล็ตจะต้องเป็น iOS 5 หรือ Android 4.0 ICS
ที่มาจาก : http://www.arip.co.th/

แนะนำโปรแกรมทําเว็บขายของ


รูปแบบเว็บไซต์ ตัวอย่าง http://www.mart.bangameclub.com/

Opencart เป็นโปรแกรมสร้างเว็บไซต์ขายของ ซึ่งมีให้ดาวน์โหลดมาใช้กันแบบฟรีๆ โดยมีทีมงานคนไทยจาก siamopencart.com นำมาแปลประยุกต์ให้สามารถใช้กับระบบภาษาไทยได้


โมดูลเพียบ แค่คลิกๆๆๆ ก็ใช้งานได้ละ ง่ายดีทีเดียว...

เหมาะกับคนไทยมากๆ เพราะระบบการใช้งานเป็นภาษาไทยทั้งหมดทั้งหน้าร้านหลังร้านการใช้งานไม่ยุ่งยาก แถมยังมีโมดูลที่ทีมงานแจกมาอีกเพียบ หรือหากท่านที่ต้องการเพิ่มโมดูล มีปํญหาเกี่ยวกับการใช้งานก็จะมีเว็บบอร์ดสำหรับพูดคุย และการตอบปัญหาจากทีมงาน siamopencart โดยมีกติกาการใช้งานเพียงแค่ว่า : ห้ามลบลายเซ็นต์ผู้พัฒนาออกจากผู้พัฒนาระบบ siamopencart.com รวมทั้งลบลิ้งค์จากผู้พัฒนาระบบ เท่านั้น

มีคลิปสอนวิธีการติดตั้งด้วย เครดิตคลิปโดยคุณ athithac
นำมาฝากสำหรับเพื่อนสมาชิกที่กำลังมองหา CMS สำเร็จรูปเพื่อเปิดร้านค้าออนไลน์ นี่เป็นอีกหนึ่งโปรแกรมที่น่าสนใจที่เดียว ลองดูครับ ท่านสามารถศึกษารายละเอียดและดาวน์โหลด OpenCart เวอร์ชั่นภาษาไทยได้ที่ http://www.siamopencart.com/webboard/
ข้อมูลจาก: http://www.chaikhao.com
คนออฟฟิตหารายละเอียดมาให้หลายเรื่องแล้วน่ะค่ะ ต่อไปก็ลงลึกไปถึงโปรแกรมทำเว็บไซต์ขายสินค้าดูบ้าง ซึ่ง จริง ๆ แล้วมีโปรแกรมเยอะแยะมากมายที่ทำเว็บขายสินค้าได้ ไม่ว่าจะเป็น Joomla ,Oscommerce ,Margento ฯลฯ เป็นต้น ทุกตตัวของ CMS เป็นที่นิยมแพร่หลาย ยังไงลองศึกษาดูน่ะค่ะ ทุกตัวก็มีข้อดี ข้อเสียต่างกันไปค่ะ

การทำ Search Engine

1. การทำ Search Engine
ฟังเหมือนง่าย แต่ยากที่จะทำ แต่เป็นกลยุทธ์ที่จะทำให้คนเข้าเว็บไซต์ของเราได้เยอะที่สุดและดีที่สุด เพราะ 80% นั้นคนที่เข้าเว็บไซต์ของเรามาจาก Search Engine กันทั้งนั้น โดยการทำ เว็บไซต์ให้ Google รู้จักนั้น มีดังนี้
1.1 ใส่ Keyword ใน Title ของหน้าเว็บ การใส่ keywords ใน title นี้จะช่วยทำให้ Search Engine ต่างๆ รู้ว่า เว็บเราทำเรื่องเกี่ยวกับอะไร มีผลกับการทำ adsense ด้วยนะ เพราะโฆษณาที่ปรากฏนี้จะอ่านจาก title นี้เป็นสำคัญทีเดียวตัวอย่างการใช้งาน :[title] keyword หลัก , keyword รอง , keyword อื่นๆ [/title] เป็นต้น
1.2 การใส่ Key Word ที่ต้องการในส่วนด้านบนของเว็บไซต์และการเน้นด้วยตัวหนาใส่ keywords ที่เราต้องการให้ระบบของ google จับไปว่า เว็บไซต์ของเราทำเรื่องเกี่ยวกับอะไรนั้น ก็ควรใส่ keywords นั้นๆ เป็นตัวหนา เป็น head1 head2 ยิ่งดีนะ เพราะ พวก search Engine ที่เข้ามาเก็บข้อมูลนั้นจะได้เข้ามาได้ง่ายๆ และรู้ว่า ทั้งเว็บนี้คือเรื่องอะไรตัวอย่างการใช้งาน : [H1] Keyword [/h1] หรือ [H2] Keyword [/H2]
ตัวอย่างการใช้งาน : [BODY][B] Keyword [/B][/BODY]
1.3 หลีกเลี่ยงการออกแบบเว็บไซต์ด้วย Flash หรือรูปภาพเยอะ ไม่มีตัวหนังสือการทำเว็บไซต์ด้วยการมี flash หรือรูปภาพล้วนๆ นั้น Search Engine ต่างๆ เมื่อเข้ามาถึงเว็บไซต์เราแล้ว จะอ่านไม่ออกนะ ดังนั้น หลีกเลี่ยงการใช้ flash หรือรูปภาพ มีได้บ้างเล็กน้อย แต่อย่าทำทั้งเว็บ เพราะ Search engine มันอ่านได้แต่ตัวอักษรหรือ html ปกติเท่านั้น
1.4 หลีกเลี่ยงใช้ออกแบบเว็บไซต์ด้วยเฟรม
การใช้เฟรม ก็เป็นการออกแบบเว็บไซต์อีกแบบที่ Search Engine อ่านข้อมูลในเว็บไซต์เรา แล้วไม่เจอ ดังนั้น หลีกเลี่ยงการใช้นะ
1.5 ใช้ keyword ที่บริเวณ ลิงค์เชื่อมโยงมาตรฐาน (Standard Text Link)
คือการเชื่อมโยงในลักษณะ การใช้ Text link เป็นตัวเชื่อมโยง แล้วแทรก Keyword ผสมเข้าไปด้วยตัวอย่างการใช้งาน : [a href=http://www.basicstep.blogspot.com/] Keyword [/a]
1.6 ควรตั้งชื่อไฟล์รูปภาพ และใส่คำอธิบายให้กับภาพการตั้งชื่อไฟล์รูปภาพ และการใส่คำอธิบายให้กับภาพนั้น มีผลมากๆ กับการทำ AdSense เพราะระบบของ google จะวิ่งมาจับแม้กระทั่งชื่อรูปภาพที่เราใส่ลงไปด้วยนะ ว่าในเว็บเราเป็นเกี่ยวกับเรื่องอะไร เช่น เปิ้ลทำเรื่องดูดวง รูปภาพก็ควรเป็น horoscope-1.jpg เป็นต้น ไม่ใช่ ใช้ image1.jpg ค่ะ และเน้นย้ำรูปภาพด้วย keywords ซ้ำ ด้วย Alt ตัวอย่างการใช้งาน : [img src="images address" alt="Keyword"]
1.7 จด Domain name ด้วย Keyword (Domain name register)การใช้ Keyword หลักของเว็บในการจด Domain name นั้นหากทำได้ดีถือว่ามีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว เพราะระบบ AdSense จะมองที่ domain เป็นสำคัญตัวอย่างการใช้งาน : http://www.basicstep.blogspot.com/
1.8 เรียก Robot เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์เราสามารถเรียก robot ของ google ให้เข้ามาเยี่ยมชมที่เว็บไซต์เราได้โดย เข้าไปที่ http://www.google.com/addurl/ เพื่อ add ชื่อเว็บไซต์ของเรา เพื่อให้ google เข้าไปเก็บข้อมูลและเนื้อหาของเราและใส่ เว็บไซต์ของเราลงไปในฐานข้อมูลของ google
1.9 แลกลิงค์กับเว็บไซต์อื่น ๆ อันนี้คงแทบไม่ต้องบอกกันเลยมั๊งค่ะ ว่าจะต้องทำอย่างไรบ้าง?? เพราะเป็นวิธีที่นิยมกันมามากแล้ว คือ ไปติดต่อกับเว็บไซต์ต่างๆ เพื่อขอแลกลิงค์กับเว็บไซต์นั้นๆ เมื่อมีผู้เข้าชมที่เราแลกลิงค์ด้วย เขาก็อาจจะแวะเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราเช่นกัน ข้อควรระวัง : ควรแลกลิงค์กับเว็บไซต์ที่ถูกกฎหมายและศีลธรรมนะคะ คือไม่ควรแลกลิงค์กับเว็บไซต์ ลามก, อบายมุขทั้งหลาย เพราะเราอาจจะติดร่างแห เข้าร่วมวงดนตรี “google ban” ได้ง่ายๆ
1.10 ทำ Site Map ให้กับเว็บไซต์ของคุณการทำ Site Map นี้ จะช่วยให้ เมื่อระบบของ google วิ่งมาในเว็บไซต์เราแล้ว รู้ว่า ควรจะไปทางไหน เหมือนกับเป็นแผนที่นำทาง พา google ไปเยี่ยมชมเว็บไซต์เราให้ครบทุกจุด
2. การเพิ่ม link
การเพิ่ม link เป็นหลักสำคัญมากอีกส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้มีคนรู้จักเว็บไซต์ของเรา โดยที่การเพิ่ม link มีอยู่ 2 แบบ คือ การแลกลิงค์ (Link Exchange) และ การทำ one way link การแลกลิงค์ (Link Exchange) ก็อย่างที่เราทราบๆ กันดีนะว่า ส่งไปขอให้เว็บไซต์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรา ส่ง link มาให้เรา และทางเว็บไซต์ของเราเองก็ส่ง link กลับไปให้ทางเว็บไซต์ของเขาด้วยเช่นกันส่วนการทำ one way link นั้น ถ้าแปลกันตรงๆ ก็คือ ทำ link ทางเดียว ด้วยการที่ ทำอย่างไรก็ได้ ให้เขาส่ง link ให้เรา แต่เราจะไม่ส่ง link กลับไปให้ทางเว็บไซต์นั้นๆ ที่ส่งมาให้ เช่น การที่เว็บของเรามีเนื้อหาที่ดี ก็จะมีบางเว็บไซต์นำ link ของเราไปติดที่เว็บไซต์ของเขา โดยที่เราไม่ต้องร้องขอค่ะ ซึ่ง link ที่ได้มานี้ จะทำให้เว็บเราได้รับคะแนนจาก google ดีขึ้น และช่วยในการทำ SEO เป็นอย่างดีทีเดียว
3. การทำ E-mail Ads
การทำ E-mail Ads นั้น ก็คือ การทำโฆษณาผ่านทาง e-mail นั่นเอง แต่ส่วนใหญ่เมล์ลักษณะนี้ เป็นลักษณะของการทำ spam mail ซะส่วนใหญ่ ทำให้ไม่น่าเชื่อถือ เท่าที่ควร ถ้าเราไม่ทำการ spam mail แล้วล่ะก็ การทำ e-mail ads นั้น ถือว่า เป็นการโปรโมทเว็บไซต์ของเราที่ได้ผลดีที่สุดเลยทีเดียว ส่วนการทำ E-mail ads นั้น ก็สามารถเริ่มทำได้จากการที่ทำหน้า ให้รับ newsletter ที่หน้าเว็บไซต์ของเราเอง ข้อมูลของสมาชิกที่เข้ารับ newsletter จากเรานั้น ก็จะถูกเก็บเป็นฐานข้อมูล เพื่อใช้ในการโปรโมทเว็บไซต์ของเราในเว็บที่สร้างใหม่ได้เรื่อยๆ
4. การทำ signature
การทำ Signature นั้น เป็นลักษณะของการทำ One way link อีกแบบหนึ่งเช่นกัน เราสามารถทำ signature ได้ง่ายๆ ด้วยการทำ signature ใน e-mail ของเราเอง เพราะเมล์บางฉบับที่เรา fwd ต่อๆ กันไปนั้น อาจจะมีคนสนใจแล้วเขามาที่เว็บไซต์เราก็เป็นได้ หรือ อาจจะทำ signature ตาม web board ต่างๆ ที่มีกันอยู่อย่างมากมาย เมื่อเราโพสบ่อยๆ เข้า link ก็จะสร้างขึ้นมาเรื่อยๆ ถือว่าการทำ signature นี้ เป็นการสร้าง link ให้กับเว็บไซต์ของเราได้เป็นอย่างดี อีกทั้ง ทำให้คนในเว็บบอร์ดนั้นๆ รู้จักและเข้าเว็บไซต์ของเรามากยิ่งขึ้น
5. การใช้สื่อ offline
อย่าลืม… สื่อ offline ทีเดียวนะ เพราะสื่อ offline ให้ผลทาง online ได้ดีทีเดียว โดยสื่อ offline ที่เป็นที่นิยมกันมากคือ การโฆษณาผ่านหนังสือพิมพ์ แต่สื่อเหล่านี้ ต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างมาก ดังนั้น อาจจะทำในสื่อ offline แบบอื่นๆ เช่น ที่คั่นหนังสือ ทำสติกเกอร์ติดรถ หรือ ใส่เสื้อที่มีชื่อเว็บไซต์ของเราเอง เพราะให้หลายๆ คนมองเห็นและคุ้นตากับชื่อเว็บไซต์เราได้มากที่สุด
6. การลงโฆษณาผ่านสื่อต่างๆ
การลงโฆษณาผ่านสื่อต่างๆ อันได้แก่ โทรทัศน์ วิทยุ ต่างๆ พยายามพูดถึงเว็บไซต์ของเราบ่อยๆ จะทำให้ผู้ฟัง คุ้นหู คุ้นตาได้เป็นอย่างดี
7. อื่นๆ
การโฆษณาประเภทสุดท้ายนี้ คือ การทำอย่างไรก็ได้ให้คนอื่นรู้จักเว็บไซต์ของเรา ง่ายๆ เลย ก็คือ การบอกเล่า ปากต่อปาก ซึ่งวิธีการนี้ เป็นการโฆษณาเว็บไซต์ของ google ที่มีชื่อเสียงได้อย่างปัจจุบัน อย่าดูถูก… อิทธิพลของการบอกเล่า เชียวนะ…. รับรองว่า ได้ผลแน่ๆ

คู่มือ"โน้ตบุ๊ก"แนะนำให้ใช้แบตฯ จนหมด เพื่อยืดอายุการใช้งาน จริงอ่ะ

คำถามคลาสสิกที่ยังคงมีการสอบถามเข้ามาเป็นระยะๆ วันนี้ทางกองบรรณาธิการเว็บไซต์ arip ก็เลยถือโอกาสหยิบมาตอบกันอีกครั้ง เพื่อความชัดเจน และกระชับยิ่งขึ้น คำถามที่ว่านี้เกิดจากความสงสัยที่ว่า คู่มือโน้ตบุ๊กแนะนำให้ใช้แบตฯ จนหมด เพื่อว่าจะช่วยยืดอายุการใช้งานแบตฯ ได้ ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับผู้ใช้ว่ามันเป็นความจริง หรือไม่? และเขาควรทำตาม หรือเปล่า?

คำตอบคือ สิ่งที่ระบุในคู่มือนั้นเป็นข้อเท็จจริงที่ถูกต้องแล้วครับ!!! แบตเตอรี่ลิเธียมอิออนที่ใช้ในโน้ตบุ๊ก และแก็ดเจ็ตโมบายต่างๆ จะมีตัววัดประจุไฟฟ้าที่อยู่ภายใน (internal charge meter) ที่บอกสถานะการชาร์จ ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป ความแม่นยำของมันจะลดลง ผลลัพธ์คือ การรายงานประจุไฟฟ้าในแบตฯจะคลาดเคลื่อน โดยอาจจะมาก หรือน้อยกว่าความเป็นจริงก็ได้ นั่นคือ สาเหตุที่บางครั้งเราพบว่า พอใช้อุปกรณ์ไปนานๆ ทำไมบางครั้งแบตฯ หมดเร็ว ทั้งๆ ที่เพิ่งชาร์จเต็ม (ความจริงมันไม่เต็ม)

ดังนั้น การใช้แบตเตอรี่ของโน้ตบุ๊ก หรืออุปกรณ์แก็ดเจ็ตต่างๆ ให้หมดสนิทสัก 2 - 3 ครั้งต่อปี จะช่วยให้ตัววัดของแบตเตอรี่ได้เริ่มต้นปรับแต่งการวัดของมันอีกครั้ง สำหรับขั้นตอนการทำก็คือ ให้คุณชาร์จแบตฯ โน้ตบุ๊กจนเต็ม จากนั้นถอดปลั๊ก และใช้งานตามปกติจนกว่าแบตฯ จะหมด เมื่อเครื่องปิดแล้ว รีชาร์จแบตฯ ให้เต็มอีกครั้ง เป็นอันเรียบร้อย คราวนี้นอกจากคุณจะไม่ต้องงงกับแบตฯที่หมดเร็วเกินเหตุแล้ว การใช้งานแบตฯ ลักษณะนี้ยังช่วยยืดอายุการใช้งานให้กับแบตฯ อีกด้วย
ที่มาจาก : http://www.arip.co.th/

new iPad กับ Nexus 7 ใครอึดกว่ากัน?

นอกจากเราจะได้เห็นการชำแหละแก็ดเจ็ตใหม่ๆ โดย iFixit แล้ว เว็บไซต์อย่าง SquareTrade ยังช่วยให้ผู้ใช้ได้ทราบถึงความอึดของแก็ดเจ็ตด้วย โดยล่าสุดทางเว็บไซต์ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอการทดสอบเปรียบเทียบความแข็งแรงทนทานของ Google Nexus 7 กับ new iPad ของ Apple ด้วยการทำ Drop Test (ทดสอบความทนทานจากการตกหล่น) และ Dunk Test ถ้าพวกมันตกลงไปในน้ำจะเป็นอย่างไร? คุณผู้อ่านเว็บไซต์ arip คิดว่า ของใครจะอึดกว่ากันครับ?

Square Trade ทำการทดสอบ 3 รูปแบบด้วยกัน ตั้งแต่การทำมันตกลงจากมือขณะยืน ผลักมันตกลงจากขอบโต๊ะที่นั่ง และทิ้งมันลงในอ่างอาบน้ำ (ใครที่ชอบแช่ตัวในอ่างพร้อมกับเล่น new iPad หรือแท็บเล็ตอย่าง Nexus 7) ผลปรากฎว่า Nexus 7 ทนทานต่อการตกหล่นมากกว่า โดยหน้าจอสัมผัสยังคงโต้ตอบการใช้งานได้ และมีรอยขีดข่วนด้านหลังเล็กน้อย ในขณะที่ new iPad เกิดรอยขีดข่วนที่ด้านหลังเช่นเดียวกัน แต่หน้าจอกระจกด้านหน้าแตกร้าว ส่วนผลการทดสอบด้วยการทำหล่นจากโต๊ะที่นั่งด้วยการเลื่อนมันให้หล่นลงไปกระแทกกับพื้่นคอนกรีต (ตกจากที่สูงในระดับต่ำกว่าการยืนใช้งาน แต่เป็นการตกโดยขอบลงกระแทกกับพื้น) ผลปรากฎว่า ได้ผลลัพธ์คล้ายกัน โดย Nexus 7 เกิดรอยขีดข่วนด้านหลังเล็กน้อย ในขณะที่ทางด้าน new iPad หน้าจอแตกเป็นครั้งทีสอง

หลังจากทดสอบความทนทานจากการตกหล่นแล้ว SquareTrade ได้ทำการทดลองครั้งที่สามด้วยการนำ new iPad และ Nexus 7 เข้าไปในห้องน้ำ เพื่อทดสอบในกรณีที่ว่า หากเราทำแท็บเล็ตทั้งสองรุ่นตกลงไปในอ่างอาบน้ำที่มีน้ำอยู่เต็มจะเป็นอย่างไร? ในขณะที่แท็บเล็ตทั้งสองเปิดให้ทำงาน ผลปรากฎว่า หลังจากนำมันขึ้นมาจากอ่างอาบน้ำ Nexus 7 ยังคงใช้งานได้ตามปกติ ทั้งหน้าจอ ระบบเสียง และฟังก์ชันการโต้ตอบการสัมผัสยังคงใช้งานได้อย่างสมบูรณ์ ทางด้าน new iPad หน้าจอสัมผัสยังคงใช้งานได้ตามปกติ แต่ระบบเสียงไม่ทำงาน ข้อสรุปที่ได้จากการทดสอบของ SquareTrade ก็คือ Nexus 7 ทนทานกว่า new iPad ทั้งการทำร่วงหล่น และจมน้ำ สำหรับการทดสอบที่่ลุ้นระทึก และน่าใจหายเวลาที่เห็นแก็ดเจ็ตทั้งสองตกจากที่สูงกระแทกพื้นคอนกรีต หรือจมน้ำ คุณผู้อ่านเว็บไซต์ arip สามารถชมได้จากคลิปข้างล่างนี้ครับ

ที่มาจาก : http://www.arip.co.th/news.php?id=415376

การเปิดร้านค้าแล้ว ทำอย่างไรให้ขายสินค้าได้

การขายของไม่ว่าจะเป็นการเปิดร้านแบบปกติ หรือ เป็นการเปิดร้านค้าออนไลน์ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การเปิดร้านค้าแล้ว ทำอย่างไรให้ขายสินค้าได้ และขายสินค้าได้ดี  สิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งที่จะนำไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้คือ ทางร้านค้ามีการทำการตลาดได้ดีแค่ไหน….? 
  
ถึงแม้การขายสินค้าออนไลน์จะ สามารถช่วยให้ผู้ขายประหยัดค่าใช้จ่าย ทั้งในเรื่องของสินค้า พนักงานขาย และให้บริการได้ตลอด 7 วัน 24 มีผู้คนมากมายออนไลน์และทำการซื้อขายเพิ่มขึ้นอยู่ตลอดเวลา แต่อย่างไรก็ตาม การมีเว็บไซต์เพื่อจำหน่ายสินค้าจึงไม่ใช่เครื่องรับประกันความสำเร็จทางธุรกิจ เพราะยังมีองค์ประกอบที่เป็นตัวแปรสำคัญ คือ “การตลาด” ซึ่งเราได้ทำการสรุป องค์ประกอบที่จำเป็นและมีผลต่อยอดขายที่จะช่วยให้การเปิดร้านค้าออนไลน์ สามารถขายสินค้าได้ และขายได้ดีในแบบที่เราต้องการ ซึ่งมีทั้งหมด 5 องค์ประกอบ ดังนี้

องค์ประกอบที่หนึ่ง ผลิตภัณฑ์ (Product)
แม้เว็บไซต์จะมีความสวยงาม แต่หากผลิตภัณฑ์ไม่ตรงกับความต้องการของลูกค้า ความสวยงามหรือตื่นตาตื่นใจเพียงอย่างเดียวก็ไม่สามารถที่จะสร้างรายได้ให้กับธุรกิจได้ ดังนั้น ผู้ผลิตจึงควรที่จะมีการวิเคราะห์สินค้าว่ารูปแบบควรเป็นลักษณะใด การใช้ประโยชน์ของสินค้า และกลุ่มเป้าหมายหรือผู้ซื้อ


องค์ประกอบที่สอง ราคา (Price)
ผู้ขายควรเน้นการตั้งราคาให้เหมาะสมกับคุณภาพของสินค้า หมั่นตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงราคาของคู่แข่งใกล้เคียง สำหรับการตั้งราคาเพื่อจำหน่ายสินค้าผ่านอินเทอร์เน็ตนั้น ผู้ขายจะต้องมีการคำนวณต้นทุนให้รอบคอบ หรือความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น




องค์ประกอบที่สาม ช่องทางการจัดจำหน่าย (Place)
คำกล่าวที่ว่า ทำเลดีมีชัยไปกว่าครึ่ง ดูจะเป็นคำพูดที่มีน้ำหนักอยู่เสมอในโลกธุรกิจ ถ้าจะเทียบกับเว็บไซต์ การหาทำเลอาจจะเทียบเคียงได้กับการตั้งชื่อร้านค้า ที่ศัพท์ทางอินเทอร์เน็ตเรียกว่า โดเมนเนม (Domain Name) ร้านค้าเหล่านี้เปรียบเสมือนยี่ห้อสินค้า และชื่อเหล่านี้เป็นทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดบนโลกอินเทอร์เน็ต เช่นเดียวกับทำเลทองย่านการค้า การจดทะเบียนโดเมนเนมจึงควรเลือกชื่อที่จดจำได้ง่าย แต่ส่วนใหญ่ชื่อที่ดี มักจะถูกจดไปหมดแล้ว ในปัจจุบันจึงเกิดธุรกิจซื้อขายเฉพาะชื่อโดเมนเนมเกิดขึ้น


องค์ประกอบที่สี่ การส่งเสริมการขาย (Promotion)
การส่งเสริมการขายบนเว็บไซต์เป็นสิ่งจำเป็นเช่นเดียวกับการค้าปกติ โดยรูปแบบมีตั้งแต่การจัดชิงรางวัล การให้ส่วนลดพิเศษในเทศกาลต่างๆ รวมทั้งการโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้ลูกค้าเข้ามาเลือกสินค้า ให้ได้มากที่สุดและตรงกลุ่มเป้าหมายที่สุด


องค์ประกอบที่ห้า การรักษาความเป็นส่วนตัว (Privacy)
การซื้อขายผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ผู้ซื้อต้องมีการกรอกข้อมูลส่วนตัวของตนส่งไปให้ผู้ขาย ดังนั้น ผู้ขายจะต้องรักษาความลับของข้อมูลเหล่านี้ โดยต้องไม่เผยแพร่ข้อมูลต่างๆ ของลูกค้าก่อนได้รับอนุญาต ผู้ดูแลเว็บไซต์จำเป็นต้องสร้างระบบรักษาความปลอดภัยที่เชื่อถือได้ว่าข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกโจรกรรมออกไปได้ และดูแลอย่างเคร่งครัด



ทั้งนี้ ส่วนผสมทางการตลาดทั้ง 5 องค์ประกอบนี้ ผู้ขายหรือผู้ผลิต ควรมีการวางแผน และสร้างกิจกรรมที่สัมพันธ์กัน ตั้งแต่การเลือกสินค้าที่มีคุณภาพ สอดคล้องกับความต้องการของตลาดกลุ่มเป้าหมาย ในระดับราคาเหมาะสม และมีชื่อโดเมนเนมที่ผู้ซื้อจดจำได้ง่าย สะกดผิดยาก มีการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ชื่อเว็บไซต์ให้ลูกค้ารู้จัก และมีบริการหลังการขายที่ดีให้ลูกค้าเกิดความประทับใจ อยากกลับมาใช้บริการอีกครั้ง และต้องรักษาความลับลูกค้าได้ .......  เพียงเท่านี้ การทำพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ให้ประสบความสำเร็จก็ไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อม...

ข้อมูลจาก : www.makewebeasy.com

แนะนำ 60 โปรแกรมคอมพิวเตอร์ เด็ดๆ ที่ให้คุณดาวน์โหลดไปใช้ฟรี!!!

มาโหลดโปรแกรมฟรี!...กันดีกว่า
  1. Firefox เว็บบราวเซอร์ผลงานของ Mozilla โดยอดีตผู้สร้างบราวเซอร์ที่โด่งดัง Netscape
  2. VLC โปรแกรมสำหรับเปิดไฟล์เพลง ไฟล์ภาพยนตร์ต่างๆมากมาย
  3. CCleaner โปรแกรมสำหรับลบไฟล์ขยะบนคอมพิวเตอร์
  4. Dropbox โปรแกรมสำหรับฝากไฟล์ไปยังเนื้อที่ออนไลน์บนอินเตอร์เน็ต รองรับทั้ง Notebook , smartphone และ tablet
  5. 7-Zip โปรแกรมบีบอัดไฟล์ เป็น Zip ไฟล์ ที่คุณสามารถดาวน์โหลดใช้งานได้ฟรี
  6. OpenOffice.org โปรแกรมพิมพ์งาน โปรแกรมชุดสำนักงานที่สามารถใช้ทดแทนซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์อย่าง Microsoft Office
  7. Google Chrome
  8. μTorrent โปรแกรมโหลดไฟล์ P2p บิตทอเรนท์
  9. Notepad + + โปรแกรมพิมพ์ ที่คุณสามารถเปิดไฟล์เพื่อแก้งานเขียนโค้ดเว็บไซต์ HTML และการเขียนโค้ดภาษาคอมพิวเตอร์ต่างๆ
  10. Gmail เว็บไซต์บริการฟรีอีเมลล์ที่สามารถใช้บริการจาก Google ได้ทุกอย่างเลยทีเดียว
  11. GIMP โปรแกรมสำหรับตกแต่งภาพที่มีความสามารถคล้ายคลึงกับ Photoshop รองรับทั้ง MAC , Windows และติดมากับ Linux Ubuntu
  12. Paint.NET โปรแกรมสำหรับแต่งภาพ ใช้งานได้ฟรี และทำงานได้เยี่ยมกว่า paint ที่แถมมากับ Windows แถมปลั๊กอินสำหรับ Paint.net ที่ช่วยให้คุณสามารถเปิดไฟล์ psd สำหรับ Photoshop ได้
  13. Microsoft Securiry Essentials โปรแกรม กำจัดไวรัส ช่วยตรวจสอบและกำจัดไวรัสบนคอมพิวเตอร์ระบบปฏิบัติการ Windows ทั้งนี้ Microsoft แจกให้คุณได้ใช้งานฟรี
  14. Revo Uninstaller โปรแกรมสำหรับถอนการติดตั้งโปรแกรม ไม่ให้เหลือไฟล์ขยะหรือไฟล์ระบบของโปรแกรมที่เคยติดตั้งค้าง
  15. Evernote โปรแกรมสำหรับจดบันทึก ซึ่งสามารถ sync หากันได้ระหว่าง notebook มือถือ และแท็บเล็ต , iรวมเทคนิคเด็ดสำหรับผู้ใช้ Evernote
  16. Thunderbirds โปรแกรมสำหรับจัดการอีเมลล์ ที่สามารถใช้แทนพวก Microsoft Outlook
  17. Audacity โปรแกรมสำหรับอัดเสียง ตัดต่อเสียง ทำ ringtone mp3
  18. ImgBurn (เป็นโปรแกรมสำหรับทำการเขียนซีดีและเขียนดีวีดี Burn dvd แทนโปรแกรมลิขสิทธิ์อย่าง Nero Burning ROM )
  19. Picasa (โปรแกรมจัดการ Gallery รูปภาพจาก Google พร้อมเทคนิคพิเศษ สามารถจัดภาพถ่ายของคุณแบบจำใบหน้าได้ : Picasa 3.5 จัดภาพถ่ายของคุณด้วยการรู้จำใบหน้า )
  20. Skype (โปรแกรม VOIP สามารถแชตและวีดีโอแชตสนทนาเห็นหน้าได้ รองรับทั้ง Windows Mac Linux รวมทั้งสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตบนระบบปฏิบัติการ Symbian , windowsphone , iOS และ Android : คุ้มครอง Skype ของเราเต็ม )
  21. Pidgin (โปรแกรมแชตสารพัดประโยชน์ แชตร่วมกับพวก irc , Windows Messenger , icq , Yahoo Messenger , AIM , google talk และอื่นๆอีกมากมาย
  22. ubuntu ระบบปฏิบัติการฟรี ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการ Linux ที่นิยมใช้มากที่สุดและเติบโตเร็วที่สุด ที่นับวันหน้าตาสวยขึ้นคล้ายกับแนว MAC ทุกที ที่คุณสามารถดาวน์โหลดติดตั้งคู่กับระบบปฏิบัติการ Windows ได้
  23. iTunes (โปรแกรม sync เพลง และจัดการเพลงบนอุปกรณ์ iOS ที่โหลดใช้งานได้ฟรี )
  24. foobar2000 โปรแกรมฟังเพลงสุดแนว
  25. Foxit Reader โปรแกรมสำหรับอ่านไฟล์ Pdf
  26. FileZilla โปรแกรมสำหรับจัดการไฟล์ผ่าน FTP
  27. VirtualBox โปรแกรมสร้าง Visual Machine จำลองบนคอมพิวเตอร์ของเรา มีไว้สำหรับการลองลงระบบปฏิบัติการต่างๆเช่นพวก windows หรือ Ubuntu รุ่นใหม่ๆเป็นต้น
  28. TrueCrypt โปรแกรมแนวรักษาความปลอดภัย เข้ารหัสและถอดรหัสโดยอัตโนมัติ
  29. Avast! โปรแกรมฟรี Antivirus ยอดนิยม
  30. Defraggler โปรแกรมสำหรับจัดระเบียบดิสก์ ให้คอมทำงานได้เร็วขึ้น
  31. KeePass โปรแกรมช่วยจำรหัสผ่าน ที่ใช้งานสะดวกสบายและปลอดภัย
  32. Opera เป็นเว็บบราวเซอร์ 1 ใน 4 เว็บบราวเซอร์ยอดนิยม
  33. AVG โปรแกรมกำจัดไวรัสฟรียอดนิยม
  34. Digsby โปรแกรมที่ดีที่สุดสำหรับขาออนไลน์ ที่ชอบทั้งแชต เช็คอีเมลล์ และเล่น Social Network เป็นประจำ
  35. Google Reader เว็บไซต์สำหรับอ่านข่าว RSS Feed
  36. Winamp โปรแกรมฟังเพลงยอดนิยม
  37. Google Earth โปรแกรมสำหรับดูแผนที่ประเทศต่างๆในมุมมองแบบลูกโลก
  38. TeraCopy โปรแกรมที่ช่วยคัดลอกไฟล์ และย้ายไฟล์ได้เร็วมากๆ
  39. Launchy ตัวช่วยตัวใหม่ที่อำนวยความสะดวกในการเข้าถึงโปรแกรมได้ดีขึ้น แทนปุ่ม start ในระบบปฏิบัติการ Windows
  40. Transmission โปรแกรมบิตทอเรนต์สำหรับ MAC และ Linux
  41. IDE Eclipse โปรแกรมสำหรับภาษาซี
  42. SpyBot Search & Destroy โปรแกรมสำหรับกำจัดไฟล์พวกสปาย ไฟล์อันตราย ไฟล์ขยะ บนเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา
  43. Adium อีกหนึ่งโปรแกรมสำหรับแชตสนทนา
  44. PuTTy โปรแกรม telnet
  45. Songbird โปรแกรม Opensource ที่มีความสามารถคล้ายกับโปรแกรมฟังเพลงอย่าง iTunes
  46. sumatra PDF โปรแกรมสำหรับอ่านไฟล์ PDF
  47. XBMC โปรแกรมพวกมีเดียเซนเตอร์ ไว้ดูหนังฟังเพลงแบบเปิดผ่านจอใหญ่ ดาวน์โหลดใช้ฟรี
  48. Blender โปรแกรมฟรีที่สามารถออกแบบสร้างแอนิเมชั่น
  49. CDBurnerXP อีกโปรแกรมฟรี สำหรับการเขียนซีดี ที่มีความสามารถคล้ายกับ Nero Burning Rom
  50. Everything โปรแกรมสำหรับ search หาไฟล์บนคอมพิวเตอร์ที่ทำงานค้นหาได้รวดเร็ว
  51. Handbrake โปรแกรมสำหรับใช้แปลงแผ่น DVD และ Blu-ray ให้เป็นไฟล์ MP4 และ MKV.
  52. Rainmeter โปรแกรมเด็ดสำหรับตกแต่งหน้าจอให้ดูดีทันสมัย
  53. AutoHotkey โปรแกรมตั้งคีย์ลัด เพี่อเรียกโปรแกรม หรือคำสั่งต่างๆได้เร็วขึ้น เป็นโปรแกรมยอดฮิตมากที่ใช้ในวงการเกม DotA
  54. Google Calendar เว็บไซต์สำหรับจัดการปฏิทินส่วนตัว เปิดได้ทั้งทางเว็บไซต์ ทางคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต และ มือถือ รวมทั้งสามารถใช้ร่วมกันกับกิจกรรมบน Google Plus
  55. MediaMonkey โปรแกรมสำหรับจัดการเพลง
  56. Quicksilver โปรแกรมสำหรับ Mac ที่สามารถเข้าถึงโปรแกรมต่างๆได้เร็วขึ้น
  57. WinSCP โปรแกรม FTP สำหรับ Windows
  58. Boxee โปรแกรมสำหรับมีเดียเซนเตอร์ ดูหนัง ฟังเพลงบน PC ของคุณ
  59. AdBlock Plus ปลั๊กอินเสริมบน Firefox และ Chrome ไว้สำหรับ Block ปิดพวกโฆษณาบนเว็บไซต์ต่างๆ
  60. Media Player Classic โปรแกรมสำหรับเปิดไฟล์มีเดียต่างๆเช่นไฟล์เพลง และไฟล์วีดีโอ ที่ดีที่สุดสำหรับบนระบบปฏิบัติการ Windows
ข้อมูลจาก Lifehacker

เทคนิคในการจัดทำ SEO โดยใช้ Google Adwords

           มีผู้คนสอบถามมาเยอะเหลือเกิน ว่า "ทำ SEO" เป็นหรือไม่? คำตอบที่อยากตอบคือ ทำเป็นค่ะ แต่จะได้ผลตามที่ต้องในระยะเวลาที่ต้องการเนี้ย ต้องขอลองดูก่อนน่ะค่ะ อิอิ Khonoffice ไม่ใช่คนเก่งอะไรมากค่ะ แต่เป็นคนที่ชอบอ่านอะไรที่เป็นความรู้ใหม่ ๆ วันนี้ก็จะมานำเสนอวิธีการทำ SEO อีกวิธีนึงค่ะ มาอ่านรายละเอียดกันค่ะ
เราสามารถนำ Google Adwords มาประยุกต์ใช้ในการทำ SEO ได้ และได้อย่างดีทีเดียวครับ ดังที่เพื่อนๆคงจะได้ทราบวิธีการทำงานของ Google Adwords กันไปเรียบร้อยแล้ว ก็จะเห็นได้ว่า โฆษณาบน Google Adwords นั้น เป็นโฆษณาที่มีผลกับจิตใจของผู้เห็นโฆษณาภายในเสี้ยววินาทีเท่านั้น เท่ากับว่า ผลลัพธ์ SEO ที่ได้จากการโฆษณาบน Google Adwords นั้น เป็นผลลัพธ์ SEO ที่ดีเยี่ยมยิ่งกว่าโพลใด ๆ ครับ เช่น ถ้าเรา ทำโฆษณาขึ้นมา 2 ชิ้น แล้วทำการโฆษณาแข่งกันบน Google หลังจากผ่านไป 1 สัปดาห์

           สามารถที่จะสรุปเบื้องต้นได้แล้วว่า SEO ข้อความโฆษณาทางด้านซ้ายมือนั้น มีผลในการเรียกความสนใจของผู้ที่อ่านได้มากกว่า (ใน Keywords นั้นๆ) รวมทั้งการใช้ Google Adwords นั้น เราสามารถทำการทดสอบและปรับเปลี่ยนข้อความโฆษณาได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เราสามารถหา Keywords และข้อความโฆษณาที่มีประสิทธิภาพสูงได้โดยเร็ว

           ดังนั้นถ้าหากเราจะใช้ประโยชน์จาก Google Adwords เพื่อเทคนิคการทำ SEO ของเว็บไซต์นั้น ผมแนะนำให้ทำดังนี้

• ลองทำการโฆษณาเว็บไซต์ของตนเองด้วย Google Adwords ก่อน เพื่อหา Keywords ข้อความโฆษณา และ landing page ที่มีประสิทธิภาพในการโฆษณาเว็บไซต์ของเราก่อน

• เมื่อเรามี Keyword และข้อความโฆษณาที่สามารถทำกำไรให้กับเราได้แล้ว ก็ลองนำ Keyword, ข้อความโฆษณา และ landing page ชุดนั้นไปโฆษณาบน PPC อื่นๆ เช่น Overture.com, Findwhat.com แล้วดูว่ายังสามารถทำกำไรให้เราได้หรือไม่

• ถ้าหากเราสามารถทำกำไรได้จาก Keyword , ข้อความโฆษณา และ landing page ชุดนั้น เราก็ค่อยทำ SEO เว็บไซต์ของเรา โดยการใช้ Keyword , ข้อความโฆษณา และ landing page ชุดนั้น โดยเราควรจะเลือกทำ SEO กับ Keyword ที่ทำกำไรให้กับเรามากที่สุดก่อนเป็นอันดับแรก

           ดังนั้นจะเห็นว่า Google Adwords นั้นจะช่วยให้ประโยชน์ในการทำ SEO โดยจะทำให้เราสามารถค้นหา Keywords, ข้อความโฆษณา และ landing page ที่มีความสัมพันธ์กัน ได้โดง่ายและรวดเร็วมากกว่าแต่ก่อนครับ / บทความวิธีหาเงินจาก google adsense

           นอกจากนั้นการทำ SEO ด้วยวิธีนี้ ยังจะทำให้เราสามารถทำกำไรกลับมาได้สูง เพราะว่า เราเน้นการทำ SEO ในชุด Keyword, ข้อความโฆษณา และ landing page ที่สามารถทำกำไรกลับมาให้เราได้สูงอยู่แล้ว (เรารู้ตั้งแต่ก่อนทำ SEO แล้ว ด้วยการทดลองบน Google Adwords ถูกไหมครับ)

          โดยสรุปแล้ว Google Adwords นั้นสามารถนำมาเป็นสื่อในการทดสอบการทำ SEO ได้นั่นเอง เพราะทำได้ง่ายดายกว่ามาก จนกระทั่งเมื่อไหร่ที่เรามี Keywords, ข้อความโฆษณา และ landing page ที่คิดว่าดีและทำกำไรได้แล้ว จึงค่อยนำสิ่งเหล่านั้นไปใช้ในการทำ SEO แบบทั่วไปครับ

ที่มาจาก:http://seo.teeneesanook.com/?p=182

ฮาร์ดดิสก์ "ใกล้เต็ม" พื้นที่จัดเก็บข้อมูลเหลือน้อยมาก

ปัญหาของผู้ใช้วินโดวส์พีซีที่พบเห็นได้อยู่บ่อยๆ นอกเหนือจากอาการเครื่องอืดแล้ว ก็จะมีเรื่องของฮาร์ดดิสก์ที่ส่วนใหญ่ก็จะมีประสบการณ์คล้ายๆ กัน แต่ที่เป็นปัญหาจริงๆ คือ อาการที่พวกมัน (ฮาร์ดดิสก์) ถูกใช้พื้นที่จนเกือบจะเต็มตลอดเวลา โดยที่ไม่รู้สาเหตุ และไม่ได้ติดตั้งโปรแกรมอะไรเพิ่มเข้าไป ทีน่ากลัวยิ่งกว่าก็คือ บางรายลบไฟล์ข้อมูลเน่าๆ ทิ้งแล้ว ฮาร์ดดิสก์ก็ยังบอกว่าใกล้จะเต็มอยู่ดี รันโปรแกรมทำความสะอาดฮาร์ดดิสก์ ก็ยังไม่ช่วยอะไร? ว่าแต่อาการลักษณะนี้มันจะมีสาเหตุมาจากอะไรได้บ้างนะ? เราไปติดตามเฉลยกันได้เลยครับ
ฮาร์ดดิสก์ใกล้เต็มตลอดเวลา อาจมีสาเหตุมาได้หลายทาง ซึ่งส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อระบบคอมพิวเตอร์ ตั้งแต่จัดเก็บข้อมูลไม่ได้ ไปจนถึงทำให้ระบบโดยรวมช้าลง และถ้าหากมันเริ่มเกิดความเสียหาย นั่นหมายถึง ข้อมูลบางส่วน หรือทั้งหมดในฮาร์ดดิสก์ของคุณ ว่าแล้วเราไปดูสาเหตุกันเป็นข้อๆ กันเลยดีกว่าครับ



ก็แค่มันเต็ม ผู้ใช้หลายคนชอบลองของใหม่ ตลอดจนโหลดคอนเท็นต์ต่างๆ จากอุปกรณ์รอบตัวไปเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ โดยที่ไม่เคยคิดจะกลับไปดูดำดูดีกับข้อมูลเหล่านี้ แต่แค่อุ่นใจว่า มันอยู่ในฮาร์ดดิสก์ของเครื่อง ซึ่งไฟล์ข้อมูลต่างๆ ตั้งแต่เรื่องส่วนตัวไปจนถึงไฟล์ข้อมูลอ้างอิงสำหรับงานที่นานๆ ใช้ที ทางออกของปัญหานี้ แนะนำให้ซื้อฮาร์ดดิสก์ภายนอก เพื่อย้ายไฟล์เหล่านี้ออกจากฮาร์ดดิสก์ในคอมพิวเตอร์ของคุณออกมาจะดีที่สุด ส่วนโปรแกรมทำความสะอาดฮาร์ดดิสก์อย่าง Clean up มันช่วยแค่ลบไฟล์ หรือโปรแกรมที่ไม่จำเป็นออกไปเท่านั้น และส่วนใหญ่ไฟล์พวกนี้ก็ไม่ได้มีขนาดใหญ่ ดังนั้นมันจึงไม่แปลกที่ แม้จะทำความสะอาดฮาร์ดดิสก์แล้ว แต่พื้นที่ก็ยังเกือบเต็มอยู่ดี

โดนไวรัสเล่นงาน นอกจากไวรัสจอมแฉที่แอบขโมยข้อมูลในเครื่องส่งให้กับแฮคเกอร์นายของมันบนอินเทอร์เน็ตที่สร้างความเสียหายให้กับผู้ใช้แล้ว ไวรัสหลายๆ สายพันธุ์ยังคงไม่ทิ้งพฤติกรรมการป่วนให้เครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณทำงานไม่ได้ หรือมีประสิทธิภาพลดลงจนน่าใจหาย โดยหนึ่งในวิธีการของมันก็คือ การสร้างไฟล์ขยะเข้าไปในฮาร์ดดิสก์ ซึ่งอาการลักษณะนี้ โปรแกรม Disk clean-up ก็ช่วยไม่ได้ เพราะมันสามารถสร้างไฟล์เข้าไปได้เร็วกว่าที่จะตามหา และลบได้ทันเสียอีก นอกจากนี้ไฟล์ที่ไวรัสมันสร้างขึ้นบางไฟล์ยังใช้ชื่อเดียวกับไฟล์สำคัญในระบบที่ห้ามลบทิ้งอีกต่างหาก วิธีแก้ที่ดีที่สุดคือ ใช้ซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสจัดการพวกมันซะ ลงทุนดีกว่า และอย่าไปเผลอเชื่อพวกหน้าต่างป๊อปอัพที่โผล่ขึ้นมาเวลาท่องเข้าไปในเว็บไซต์อันตราย พร้อมทั้งบอกว่า “YOUR COMPUTER HAS A VIRUS! CLICK HERE TO FIX IT!” เพราะมันคือกับดักชั้นยอดที่จะสร้างความเสียหายให้คุณมากกว่าฮาร์ดดิสก์เต็มเสียอีก

ฮาร์ดดิสก์ของคุณใกล้หมดอายุแล้ว ประเด็นสุดท้ายสำหรับอาการฮาร์ดิสก์ใกล้เต็มตลอดเวลา บางทีอาจมาจากฮาร์ดดิสก์ของคุณใกล้เจ๊งเต็มที ซึ่งโดยเฉลี่ยฮาร์ดดิสก์ปัจจุบันจะมีอายุอยู่ที่ประมาณ 7 - 8 ปี ขึ้นอยู่กับความหนักหน่วงของการใช้งาน เพราะถ้าหากดูแลดี พวกมันก็อาจจะมีอายุยืนถึง 10 ปีเลยทีเดียว ประเด็นคือ เมื่อฮาร์ดดิสก์เริ่มมีปัญหา มันจะเริ่มแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับตัวมันผิดพลาด ซึ่งรวมถึงการบอกว่า ฮาร์ดดิสก์เต็มแล้ว ในขณะทีความจริงมันยังไม่เต็ม ลองใช้โปรแกรมเช็คสภาพฮาร์ดดิสก์ โดยคลิกขวาบนไอคอนของไดรฟ์ที่ต้องการตรวจสอบ (เช่น C:) ใน Windows Explorer เลือกคำสั่ง Properties คลิกแท็บ Tools แล้ว ในกรอบ Error-Checking คลิกปุ่ม Check

เตือนผู้ใช้ Windows 7 ปิด Gadget ด่วน

รายงานข่าวล่าสุด ไมโครซอฟท์แนะนำผู้ใช้ Windows Vista และ Windows 7 ให้ยกเลิกการใช้ Gadgets และ Windows Sidebar เนื่องจากมีการแจ้งพบช่องโหว่ที่ผู้ไม่หวังดีสามารถใช้สั่งรันโค้ดอันตรายผ่านอินเทอร์เน็ตได้ อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทยังไม่ได้แจงรายละเอียดที่ชัดเจนเกี่ยวกับช่องโหว่ เพียงแค่เตือนว่า หากผู้ใช้มีสิทธิ์แอดมิน แฮคเกอร์จะสามารถใช้ Gadgets (โปรแกรมเล็กๆ ที่วางบนเดสก์ทอป หรือ Sidebar บน Windows 7 หรือ Vista) ทะลุทะลวงระบบได้ :O

ไมโครซอฟท์ แจงในบล็อกภายหลังการนำเสนอของ Mickey Shkatov และ Toby Kohlenberg สองแฮคเกอร์ในงานประชุม Black Hat โดยทั้งสองได้เปิดเผยช่องทางการโจมตีไว้ในสไลด์ที่ชื่อว่า "We Have You By The Gadgets" อย่างไรก็ตาม ไมโครซอฟท์ไม่ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกียวกับช่องโหว่แต่อย่างใด นอกจากจะบอกว่า ผู้ใช้มีโอกาสที่จะติดตั้ง Gadgets ที่ไม่ปลอดภัย ซึ่งเปิดให้สามารถสั่งรันโค้ดอันตรายผ่านเน็ตได้ "Gadgets ที่ติดตั้งจากแหล่งผู้ให้บริการที่ไม่น่าไว้วางใจ อาจทำให้เกิดความเสียหายกับคอมพิวเตอร์ของคุณได้ แถมยังสามารถเข้าถึงไฟล์ต่างๆ ในคอมพิวเตอร์ ตลอดจนแสดงข้อมูลส่วนตัว หรือแม้แต่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการทำงานของเครื่องได้ในทุกเวลา" ไมโครซอฟท์เตือน

เนื่องจาก Gadgets จะทำงานได้โดยใช้สิทธิ์ของล็อกอินผู้ใช้ขณะนั้น ซึ่งเท่ากับเปิดโอกาสให้ผู้ไม่หวังดีสามารถใช้ช่องโหว่สั่งรันโค้ดอันตรายด้วยสิทธิ์ระดับผู้ใช้ทั่วไปจนถึงแอดมินระบบ ขึ้นอยู่กับผู้ใช้ขณะนัน สำหรับทางแก้ หรือป้องกันผู้ใช้ ไมโครซอฟท์แนะนำให้ยกเลิก (disable) การทำงานของ Windows Sidebar และ Gadgets บนระบบปฏิบัติการ Windows Vista และ Windows 7 ทุกเอดิชั่น อย่างไรก็ตาม คุณสมบัติ Windows Sidebar for Gadgets จะถูกตัดออกไปจาก Windows 8
ข้อมูลเพิ่มเติม:http://www.arip.co.th/news.php?id=415349

การหาคนทำ SEO ที่ดี ควรดูที่อะไร

ที่จริงเรื่องนี้ผมก็ไม่รู้ว่าจะมีผู้ไม่เห็นด้วยเยอะหรือไม่นะครับ แต่อันนี้เป็นประสบการณ์ตรง + สิ่งที่ผมอ่าน ๆ มาตลอดผสมผสานกัน ให้ได้มองเห็นมุมของสายงาน SEO ได้มากขึ้น … โดยส่วนตัวแล้วผมว่าน่าจะได้ประโยชน์น้าาาาา

เข้าเรื่องเลยดีกว่า .. ใครก็ตามที่กำลังตามหา SEO specialist อยู่อาจจะต้องมองให้ไกล ๆ เลยนะครับ (ถ้าไม่ใช่สายปั่น เพราะสายปั่นไม่หวั่นการ Ban ของพี่ Google เท่าใดนัก และมักจะเป็นเว็บเฉพาะด้านที่ไม่ใหญ่เท่าไร) … แต่สำหรับคนที่ทำเว็บขึ้นมาเพื่อการต่อยอดขึ้นไปเรื่อย ๆ เหมือนการเปิดร้านค้าร้านหนึ่งแล้วทำการพัฒนาขึ้นไปเรื่อย ๆ เนี่ย จำเป็นต้องทำงานกับ SEO specialist ที่มองหลาย ๆ ด้านและติดตามข่าวสารในวงการ SE อยู่เสมอ เพราะ SEO เป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับทุก ๆ ด้านจริง ๆ การติดตามข่าวสารช้า ก็จะทำให้ปรับกลยุทธไม่ทัน
ส่วนตัวแล้ว ผมมองว่าคนทำ SEO เก่งจริง ๆ นั้น นอกจากสกิลการทำ seo แล้ว ยังต้องมีสกิล Web Analytics ที่ดีและสนใจความรู้ที่เกี่ยวข้องรอบด้านด้วยด้วย เพราะต้องมองให้ออกว่ามีอะไรเป็นปัจจัยหลักของเว็บบ้าง มีอะไรเป็นปัญหาบ้าง และมีแนวทางที่จะแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ … เรื่องพวกนี้ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องทั่วไป แต่กลับกระทบหลาย ๆ ส่วน เช่น

- ปัญหาที่แก้มีผลกระทบทางด้าน PR หรือไม่
- จะประสานงานกับหน่วยงาน Marketing อย่างไร ให้ได้ผลทาง SEO ด้วย (โดยเฉพาะ Backlink)
- จะหา feedback เพื่อนำมาปรับปรุงเว็บไซต์อย่างไร
- มีแนวทางให้ target keyword ได้หลาย ๆ keyword หรือเปล่า (ยิ่งเยอะยิ่งดี)
- ถ้ามี keywords หลาย ๆ อันในเรื่องที่คล้าย ๆ กัน จะนำเสนออย่างไร ปรับ title อย่างไร และจัดการกับ landing pages เหล่านั้นยังไง
- จะนำส่วนของ programming มาใช้กับเว็บยังไง ให้ได้ผลทาง seo ด้วย หรือถ้ามีความเข้าใจด้านโปรแกรมมิ่งด้วยนี่ ยิ่งจะทำให้คิดไปได้อีกว่า ระบบแบบไหนเป็นประโยชน์ ควรสร้างยังไง (จะอธิบาย programmer ง่ายขึ้น)
- ถ้ามีการปรับโครงสร้างเว็บควรจะทำแบบไหน ถึงจะเป็นประโยชน์กว่ากัน
- inbound link และ outbound link จะจัดการอย่างไร
- ทิศทางการเคลื่อนไหวของ Google ในประเทศไทยอีกและที่อื่น ๆ โดยเฉพาะที่ ๆ ใช้ภาษาอังกฤษ
- เมื่อต้องทำงานร่วมกับนักทำ SEO จากภายนอกด้วย (บางที่มีทั้งสองอย่าง เพื่อแชร์ความรู้กัน) สามารถมองเห็นถึงด้านบวกและด้านลบ ของ outsourcing seo team มากแค่ไหน
- ลงทุนในการ seo แบบไหนจะประหยัดงบประมาณมากกว่ากัน
- อื่น ๆๆๆ

สิ่งเหล่านี้ถึงแม้ว่าบางอย่างจะเป็นงานของหน่วยงานอื่นเป็นหลัก แต่คนทำ SEO จำเป็นต้องรู้ ถ้าปล่อยให้หน่วยงานอื่นทำเอง อาจจะได้ประโยชน์กับบริษัท แต่ผลประโยชน์ทาง SEO ก็จะได้ไม่เต็มที่ .. กลับกันหากปล่อยให้ SEO ที่ไม่มีความสนใจงานด้านอื่น ๆ มาทำ ก็จะประยุกต์หรือนำเสนอวิธีดี ๆ ไม่ออก …. เพราะฉะนั้นจะง่าย เร็ว และมีประสิทธิภาพกว่ามากถ้า SEO Specialist มีความสนใจผลกระทบที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานอื่น ๆ ด้วย

สังเกตุว่าผมไม่ได้พูดถึงจำนวน Network ที่มีในมือ เพราะ network เป็นปัจจัยภายนอก ไม่ใช่ที่ตัวบุคคล และถ้าตัวบุคคลเก่งจริง + งบประมาณพร้อม การทำ network ไม่น่าจะเป็นปัญหา เพราะน่าจะเข้าใจว่าควรจะหา network ภายนอกยังไง แบบไหนได้ระยะ ยาว แบบไหนได้ระยะสั้น แบบไหนเสี่ยงมาก แบบไหนเนียนกว่า (แต่หากตัว SEO คนนั้นมี network ในมืออยู่ด้วยก็คงจะดีมาก ๆ เลยทีเดียว แต่ส่วนใหญ่คนที่มี network มักจะเป็น outsource มากกว่านะ)
ข้อมูลมาจาก:http://www.sciartseo.com/2011/09
โดยส่วนตัวแล้วแอบติดตามบล็อกนี้อยู่เสมอ เพราะเขามีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง เสนอแนวคิดที่เป็นตนเองได้ดี ถึงแม้จะมีคนค้านเท่าใด แต่เขาก็แค่ขอเสนอในอีกมุมนึง ซึ่งทำให้เราก็คิดตามถึงในแง่ที่แตกต่างกันไป.... ทุกอย่างในชีวิตเราต้องลองผิดลองถูกเสมอล่ะ ยังไง khonoffice ก็เป็นกำลังให้ทุกคนสู้ ๆ น่ะค่ะ

เปรียบเทียบ IE / FF / Chrome / Opera / Safari

Internet Explorerข้อดี
- เป็นบราวเซอร์ที่คนใช้งานมากที่สุดในโลก ได้รับการรองรับจากทุกเว็บไซต์
เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นสามารถแก้ไขได้ง่าย ให้ความเป็นส่วนตัวสูงสุดเพราะไม่เก็บข้อมูลผู้ใช้เลย
- เว็บไซต์เกมทุกเว็บหรือโซเชียลเน็ตเวิร์คต่างๆรองรับโค้ดของ IE
ข้อเสีย
- IE เปิดหลาย ๆ แท็บค้างแน่นอน ยิ่งถ้าเปิดเกมส์ไว้ด้วย
- ช้าที่สุด เมื่อเทียบกับบราวเซอร์อื่นๆ
- ใช้หน่วยความจำคอมพิวเตอร์มากที่สุด ซึ่งอาจทำให้เครื่องช้าไปด้วย
Firefoxข้อดี
- เร็วที่สุดในบรรดาเบราเซอร์ที่เราคัดสรรมา
- เต็มไปด้วยอุปกรณ์เสริม ( add-ons )
- ถ้าโดนบุกรุกจากสปายแวร์ ไวรัส หากใช้หมาไฟปัญหาพวกนี้จะไม่ค่อยเจอ (เกือบ 100%) ด้วยระบบการรักษาความปลอดภัยและระบบการอัพเดตอยู่ตลอดจะช่วยแก้ปัญหาได้อย่างทันท่วงที
- มีลุกเล่นเยอะ
- มีตัวดาวน์โหลดอยุ่ในตัว
- มีการอัพเดทอยู่เรื่อย ๆ
ข้อเสีย
- google สนับสนุนน้อยลงเนื่องจาก หันไปช่วย chrome แทน
- ผู้ใช้ทั่วโลกยังน้อย เมื่อเทียบกับ IE เพราะ IE มันติดมากับวินโดว์อยู่แล้ว จึงไม่แปลก -__-
- เว็บไซต์ส่วนใหญ่นิยมทำด้วย IE จึงแสดงผลใน Firefox ไม่ได้ หรือถ้าแสดงได้ ก็อาจไม่สมบูรณ์
- ไม่สามารถเข้าไปยังเว้บไซต์ของสถาบันการเงินต่าง ๆ ได้
- สำหรับคนที่เล่นไฮไฟว์ หมาไฟมันแสดงโค้ดได้ไม่ครบ
- เนื่องจากมีลูกเล่นเยอะ มันก็มีข้อดีและข้อเสียในตัวคือลูกเล่นเยอะ เปิดแท็บได้เยอะ กินแรมมาก
Google Chrome
ข้อดี
- พื้นที่หน้าจอใหญ่ที่สุดและใช้เนื้อที่คุ้มค่าที่สุด
- เร็วกว่า IE และเร็วพอ ๆ กับ Firefox
- มีแถบสำหรับการเสิชที่รวดเร็ว
- ขนาดไฟล์น้อย ไม่หนักเครื่อง
- หน้าต่างดาวน์โหลดอยู่แถบด้านล่าง ไม่เกะกะเหมือน IE และ Firefox ที่เด้งออกมาอีกหน้าต่างนึง
- ดึงแอพของกูเกิลมาใช้งานอย่างสะดวก
ข้อเสีย
- ตอนพิมพ์ในช่อง พอเราเอาเมาส์ไปคลิกที่อื่นจะกลับมาแก้อีกที ถ้าเป็นภาษาไทย ตัว cusor จะเลื่อนไปอยู่ตรงด้านหน้าสุด (นี่เป็นอย่างนึงที่ไม่ชอบมาก -__-)
- การ drag ข้อความหรือคลุมดำ ทำยากมาก !! มันต้องใช้ความพยายามอย่างสูง ต้องลองใช้เองแล้วจะรู้่
- ไตเติ้ลบาร์สั้น
- เข้าเว็บสถาบันการเงินต่าง ๆ ไม่ได้เช่นเดียวกับหมาไฟ
- ยังซัพพอร์ตภาษาไทยได้ไม่ดีเท่าที่ควร -__-
- การลบตัวอักษร ถ้าคำที่มีสระอยู่ด้วยมันจะลบไปหมดเลย - -
Opera
ข้อดี
- เร็วกว่า IE Chrome FF (เร็วกว่าหมาไฟนิดนึงนะในความรู้สึก)
- รูปลักษณ์สวย
- กินเมมน้อยกว่า IE แต่ก็ยังไม่เท่า Chrome
- มี download manager ในตัว
- ซัพพอร์ต html css
- Mouse Gestures เริดมาก
ข้อเสีย
- ลูกเล่นน้อย บางหน้าเว็บแสดงผลเพี้ยน
- ของเราเวลาเปิดรู้สึกมันช้ากว่าเบราเซอร์อื่น ๆ
- ไม่ซัพพอร์ตเว็บที่เป็นไออีเท่านั้น เช่น เว็บของสถาบันการเงินต่างๆ (เหมือนหมาไฟกับโครม)
Safari
ข้อดี
- โหลดหน้าเว็บเร็วมาก !! เร็วกว่า firefox ซะอีก Safari ได้ชื่อว่าเป็นเบราเซอร์ที่เร็วที่สุดในโลก OMG !!
- เล่น javascript เร็วกว่าเบราเซอร์อื่นๆทั้งหมดทั้งมวล
- รองรับ Css animations ซึ่งเบราเซอร์อันอื่นไม่รองรับ
- รองรับ Css web font
- มีลุกเล่นเด่น ๆ เจ๋ง ๆ ที่เริดกว่าเบราเซอร์อื่นนิดนึง แต่ลูกเล่นก็ยังไม่เยอะเท่าหมาไฟ
- สแกนข้อมูลได้รวดเร็ว
- ไวรัส สปายแวร์ต่าง ๆ ซาฟารีกำจัดได้ดีกว่า IE และ Firefox ซะอีก
ข้อเสีย
- ลุกเล่นยังไม่ค่อยเยอะ โดยรวมแล้วไม่สุ้ Firefox
- มีปัญหาด้านภาษาไทยเหมือน Chrome
- กินทรัพยากรของคอมพิวเตอร์คุณค่อนข้างเยอะพอ ๆ กับ IE
- ฟ้อนต์เพี้ยนเยอะมาก
- streaming เข้าขั้นห่วยแตก Internet Explorer

Olympus รุ่น OM-D E-M5

หัวข้อสนทนาในการที่จะเลือกซื้อกล้องถ่ายรูปตัวใหม่สักตัวไว้ใช้งานนั้น ไม่ว่าจะเป็นมือเก๋า เก่าประสบการณ์ไปจนถึงมือใหม่ไฟแรง คงจะหนีไม่พ้นเรื่องคุณภาพของภาพที่ได้จากตัวกล้อง เทคโนโลยีใหม่ๆ ลูกเล่นเจ๋งๆ ที่จะช่วยทำให้เราสร้างสรรค์งานออกมาได้ตามจินตนาการ ความแข็งแรงทนทาน น้ำหนักเบา สะดวกพกพา สามารถบันทึกวิดีโอในระดับ Full HD แน่นอนว่าด้วยความต้องการที่หลากหลายแบบนี้ หากเจาะจงว่าทุกเหตุผลที่กล่าวมานั้นสำคัญพอๆ กันหมด คงได้คำตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า Mirrorless เป็นคำตอบที่ใช่ที่สุด

แกะกล่อง

Olympus รุ่น OM-D E-M5 ด้วยรูปลักษณะที่ดูเป็นแบบ Retro น่าสัมผัส ไม่ว่าจะคล้องคอ หรือยกขึ้นมาถ่ายรู้สึกได้ถึงความเบาสบาย กระชับมือ เหมาะสำหรับนำไปเที่ยว เพราะตัวกล้องออกแบบมาให้ทนทุกสภาพ ไม่ว่าจะละอองน้ำ ฝุ่น ทราย ก็สามารถกันได้ (แต่ไม่ถึงขนาดนำลงไปดำน้ำได้นะ)
ตัวบอดี้แยกเลนส์ ติดแฟลชบนหัวกล้อง



จากรูป หมายเลข 1 คือจุดที่ใช้สำหรับปรับระดับความชัดเมื่อมองด้วย view finder ทำให้สามารถใช้ได้กับคนที่สายตาปรกติ สั้น ยาว หรือใส่แว่นตา
จากรูป หมายเลข 2 คือปุ่มที่ใช้สำหรับปลดตัวแฟลชออกจากตัวกล้อง





ตัวบอดี้แยกเลนส์



จากรูป หมายเลข 3 คือ Switch เปิดปิดตัวกล้อง



ตัวบอดี้





จากรูป หมายเลข 4 คือปุ่มแสดงภาพทางหน้าจอ
จากรูป ตัวจอสามารถปรับระดับเมื่อถ่ายในมุมก้ม และ เงย ทำให้เราไม่จำเป็นต้องนอนราบไปกับพื้น หรือ ปีนบันไดเพื่อถ่ายภาพในมุมดังกล่าว



ตัวเลนส์ 12-50mm



จากรูป ตัวเลนส์ 12-50mm ที่สามารถเลือกถ่ายได้ทั้งแบบ Auto Zoom / Manual Zoom / และปรับเป็น Macro (ถ่ายวัตถุเล็กๆ หรือใกล้เลนส์ เช่น มด แมลง ดอกไม้ ฯลฯ) เพียงแค่เลื่อนล้อ Zoom ขึ้น-ลง เพื่อเปลี่ยนโหมดให้เป็น Auto หรือ manual Zoom และกรณี Macro คือกดปุ่มที่ Macro ที่เลนส์ แล้วเลื่อนล้อ Zoom ขึ้นจนสุด
แฟลช



จากรูป (คว่ำแฟลชลง) จะเห็นว่ามี Port สำหรับเชื่อมต่อกับตัวบอดี้ และฐานสำหรับล็อคตัว Flash กับตัวบอดี้ ทำให้มั่นใจได้ว่าแฟลชจะไม่หลุดร่วงขณะถ่ายภาพไม่ว่าจะองศาใดๆ ก็ตาม
บอดี้ + เลนส์ + แฟลช



ทดสอบ Feature
ความสามารถกันสั่นได้ถึง 5 ทิศทาง (ในกล้องตัวแรกของโลก)




1.กันสั่นซ้าย – ขวา (ทิศทาง3)
2.กันสั่นบน – ล่าง (ทิศทาง4)
3.กันสั่นแบบก้ม เงย (เลนส์มีการเปลี่ยนองศา)(ทิศทาง1)
4.กันสั่นแบบเอียง ซ้าย – ขวา (เลนส์มีการเปลี่ยนองศา)(ทิศทาง2)
5.กันสั่นแบบหมุนเอียงตัวกล้อง (นึกถึงการหมุนพวงมาลัยรถยนต์)(ทิศทาง5)
จากการทดสอบพบว่าภาพที่ได้จากกรณีที่ปิดการทำงานระบบกันสั่น เทียบกับเปิดการทำงานระบบกันสั่น เห็นประโยชน์ได้ชัดเจนมากเมื่ออยู่ในกรณี
1.ถ่ายซูมระยะไกล เช่น ถ่ายนก ถ่ายเครื่องบิน ถ่ายโคมยี่เป็ง หรืองาน motor show
2.ถ่ายในโหมด Macro เช่น ถ่ายมด แมลง สิ่งเล็กๆ ในระยะใกล้ๆ พระเครื่อง หรือแม้กระทั่งอัญมณี เครื่องประดับ
3.ถ่ายในพื้นที่แสงน้อย หรือเปิดรูรับแสงของตัวเลนส์แคบๆ เช่นแนว Night portrait พิพิธภัณฑ์ต่างๆ รวมไปถึง Aquarium เพื่อถ่ายสัตว์น้ำ หรือ Portrait ภายใน Aquarium ก็ยังไหว
4.คนที่ต้องการถ่ายภาพที่ใช้ความเร็วในการถ่าย เช่นนักข่าว งานกีฬา ภาพเด็กที่วิ่งซนไม่อยู่นิ่ง หรือสัตว์ต่างๆ ภาพถ่ายแนว street ที่เป็นเหตุการณ์ที่เราทั้งสามารถและไม่สามารถกำหนดมันได้

สรุป

นอกเหนือจากเทคโนโลยีกันสั่น 5 ทิศทางในกล้องตัวแรกของโลกแล้ว ความสามารถอื่นๆ ลูกเล่นต่างๆ ยังมีอีกมากมายในตัว OM-D E-M5 ที่ไม่ได้อธิบายโดยละเอียดใน review นี้ เช่น
•การปรับโทนสี ปรับความต่างของแสง ปรับแนวภาพ เลือกตกแต่งภาพหลากหลายรูปแบบ
•การถ่ายวิดีโอที่ความละเอียด Full HD ที่ 60 fps
•วัสดุของตัวกล้องที่ บอดี้ทำจากแมกนีเซียมอัลลอยด์ ที่ค่อนข้างทนทานต่อสภาพที่ยากต่อการถ่ายรูป เช่น กันน้ำ (สามารถถ่ายกลางฝนที่ตกลงมาได้), กันฝุ่นละออง (สามารถเข้าถ่ายรูปในสภาวะที่มีฝุ่นละอองเยอะๆได้ เช่น ทะเลทราย เป็นต้น) ข่วยป้องกันไม่ให้น้ำ หรือฝุ่นละอองเข้ามาทำลายกลไก หรือเซ็นเซอร์ภายในตัวกล้องได้ง่าย
•อุปกรณ์เสริมที่สามารถจะนำต่อขยายให้เหมาะกับคนที่ต้องการความกระชับมือ เช่น Grip หรือ shutter แนวตั้ง หรือการเลือกเลนส์อื่นๆ ที่ Olympus มีครอบคลุมทุกช่วงมาใช้กับกล้องรุ่นนี้ได้
•การถ่ายภาพนิ่งด้วยความเร็ว 9 fps
•View finder ครอบคลุมพื้นที่การมองเห็นถึง 100%
•Autofocus ความเร็วสูง
•ปรับอัตราส่วนของภาพได้หลากหลาย เช่น 4:3 / 16:9 / 3:2 / 1:1 / 3:4
•จอรองรับการสั่งงานระบบสัมผัส ฯลฯ
ที่มาจาก:http://www.arip.co.th/product.php?id=96
หนุ่มสาวคนออฟฟิต ท่านใด กำลังมองหากล้องไว้สำหรับถ่ายรูปสินค้า ลองเจ้าตัวเล็กนี่ดูค่ะ น่าจะให้ประสิทธิภาพ และ ประสิทธิผลที่เต็มที่เลยค่ะ

แต่งภาพให้ผิวเนียนสวย

1. เปิดไฟล์ภาพภาพคน ที่ต้องการปรับแต่งผิวให้เรียบเนียน แล้วคลิกขวาที่ Layer -> Duplicate Layer

2. คลิกเครื่องมือ Edit in Quick Mask Mode ใน Tools Palatte หรือกด Q

3. เลือกเครื่องมือ Brush Tool ใน Tools Palatte แล้วเลือกขนาดของ Brush Tool ที่ Option Bar ด้านบน โดยเลือกขนาดประมาณ 35 Soft (สามารถปรับขนาดของ Brush Tool ได้ตามต้องการ)


4. ใช้ Brush Tool ระบายไปบนส่วนผิวหน้าและผิวของบุคคลในภาพ เพื่อกำหนดพื้นที่ที่ทำ Mask สำหรับผิวหน้าส่วนที่เป็นขอบ ท่านสามารถเลือกขนาดของ Brush Toos ให้เล็กลงก่อน แล้วจึงมาระบายได้ พื้นที่ส่วนที่ระบายแล้วจะปรากฏเป็นสีแดง ดังภาพ

5. คลิก Edit in Standard Mood ใน Tools Palatte หรือกด Q เพื่อกลับสู่โหมดปกติ จะเห็นเส้นปะแสดงการเลือกพื้นที่-ข้างนอกผิวหน้าที่ได้ทำการ Mask ไว้ ให้คลิกเมนู Select -> Inverse เพื่อสลับมาเลือกพื้นที่ส่วนใบหน้าและผิว

6. กำหนดค่า Feather ใน Option Bar ประมาณ 10 (หากใน Option Bar ไม่ปรากฏ ช่องให้ปรับค่า Feather ให้คลิกเลือกเครื่องมือ ก่อน)

7. คลิกเมนู Filter -> Blur -> Guassian Blur แล้วปรับค่า Radius ประมาณ 3 pixels (อาจปรับค่ามากหรือน้อยกว่าได้ สังเกตุความเหมาะสมของภาพที่ปรากฏในช่อง Preview) เมื่อปรับได้ตามต้องการแล้ว คลิกปุ่ม OK

8. คลิกเมนู Select -> Deselect เพื่อกลับสู่ภาพปกติ จะได้ภาพที่ทำการปรับแต่งให้มีผิวเรียบเนียนเสร็จสมบูรณ์แล้ว ลองเปรียบทียบดูภาพก่อน และหลังการปรับแต่ง

9. สามารถปรับความเรียบเนียนของผิวได้หลายระดับ โดยปรับค่า Opacity ของ Layer "Background copy" ซึ่งเป็น Layer ที่ทำ Guassian Blur ไว้ ดังนี้

ผลของการปรับค่า

ที่มาจาก:http://www.nkpw.ac.th/pornsak/com54/22241/PhotoShop/crnfe/p_smoothskin.html

เปรียบเทียบการออกแบบ วัสดุการประกอบ ขนาดของตัวเครื่อง Ipad กะ Galaxy Tab

เมื่อวานนี้ได้คุยกับเพื่อนคนหนึ่ง สอบถามมาว่า ระหว่าง Ipad กะ Galaxy Tab อันไหนดีกว่ากัน อิอิ... คำถามนี้คล้าย ๆ กับว่า ไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน...555 แต่ไม่เป็นไร วันนี้ก็ลองค้นหาข้อมูลให้อ่ะน่ะ ลองพิจารณาดู เป็นบทความตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว แต่อ่านแล้วก็คำตอบ ก็จะวนไปอยู่ที่คำถามอยู่ดี เห้อ......ไปลองอ่านกันดู
เปรียบเทียบการออกแบบ วัสดุการประกอบ ขนาดของตัวเครื่อง หน้าจอ และการพกพา

iPad มีขนาด 242.8 x 189.7 x 13.4mm และน้ำหนัก 680g (และ 730gสำหรับ 3G WIFI) ตัวเครื่องมีขนาดใหญ่ และค่อนข้างรู้สึกหนักเมื่อถือเล่นไปนานๆครับ การพกพาต้องใส่กระเป๋าทรงแฟ้ม หรือแบบ Netbook
การออกแบบ iPad หน้าตาจะคล้าย iPhone รุ่นแรกครับ ด้านหน้ามีปุ่มเดียวและฝาหลังเป็นอลูมิเนียม สวยมากๆ และดูแข็งแรงทนทานดีมาก
หน้าจอขนาด 9.7 นิ้วความละเอียด 768 x 1024 pixels มันใช้งานได้เต็มตาดีนะครับ เวลาเล่น Web หรือเกม และโปรแกรมต่างๆจะทำได้สะดวกกว่าอ่านหนังสือได้สบายตากว่ามากครับ แต่ก็อย่างที่ว่าถือนานๆมันเมื่อยอ่ะ iPad มีขนาด 242.8 x 189.7 x 13.4mm และน้ำหนัก 680g (และ 730gสำหรับ 3G WIFI) ตัวเครื่องมีขนาดใหญ่ และค่อนข้างรู้สึกหนักเมื่อถือเล่นไปนานๆครับ การพกพาต้องใส่กระเป๋าทรงแฟ้ม หรือแบบ Netbook
การออกแบบ iPad หน้าตาจะคล้าย iPhone รุ่นแรกครับ ด้านหน้ามีปุ่มเดียวและฝาหลังเป็นอลูมิเนียม สวยมากๆ และดูแข็งแรงทนทานดีมาก
หน้าจอขนาด 9.7 นิ้วความละเอียด 768 x 1024 pixels มันใช้งานได้เต็มตาดีนะครับ เวลาเล่น Web หรือเกม และโปรแกรมต่างๆจะทำได้สะดวกกว่าอ่านหนังสือได้สบายตากว่ามากครับ แต่ก็อย่างที่ว่าถือนานๆมันเมื่อยอ่ะ
..................................................................................................................
Galaxy Tab มีขนาด 190.09 x 120.45 x 11.98mm และน้ำหนัก 380g ตัวเครื่องมีขนาดเล็กกว่า อารมณ์ในการจับถือ เหมือนถือหนังสือเล่มนึงครับทำให้การพกพาทำได้สะดวกมาก ใส่กระเป๋ากางเกงได้สบายครับ (แต่จะตุงหน่อยนะครับ) หรือถ้าเป็นผู้หญิงก็ใส่กระเป๋าถือใบใหญ่หน่อยได้ครับ
หน้าตา Galaxy Tab ออกแบบดีกว่า Galaxy S อีกนะฮะวัสดุคุณภาพสูงกว่าและด้านหลังถึงจะเป็นพลาสติคเงา แต่ก็ดูคุณภาพดี งานประกอบเรียบร้อยดีมากครับ
หน้าจอมีขนาด 7 นิ้วความละเอียด 600 x 1024 pixels หน้าจอขนาดนี้จัดว่าถึงจะไม่เต็มตามาก แต่พอเหมาะกับการใช้งานครับ ไม่รู้สึกว่าใช้งานไม่สะดวกแต่อย่างไร และด้่วยน้ำหนักที่เบา ใช้ไปนานๆก็ไม่เมื่อยครับ Galaxy Tab มีขนาด 190.09 x120.45 x 11.98mm และน้ำหนัก 380gตัวเครื่องมีขนาดเล็กกว่า อารมณ์ในการจับถือ เหมือนถือหนังสือเล่มนึงครับทำให้การพกพาทำได้สะดวกมาก ใส่กระเป๋ากางเกงได้สบายครับ (แต่จะตุงหน่อยนะครับ) หรือถ้าเป็นผู้หญิงก็ใส่กระเป๋าถือใบใหญ่หน่อยได้ครับ
หน้าตา Galaxy Tab ออกแบบดีกว่า Galaxy S อีกนะฮะวัสดุคุณภาพสูงกว่าและด้านหลังถึงจะเป็นพลาสติคเงา แต่ก็ดูคุณภาพดี งานประกอบเรียบร้อยดีมากครับ
หน้าจอมีขนาด 7 นิ้วความละเอียด 600 x 1024 pixels หน้าจอขนาดนี้จัดว่าถึงจะไม่เต็มตามาก แต่พอเหมาะกับการใช้งานครับ ไม่รู้สึกว่าใช้งานไม่สะดวกแต่อย่างไร และด้่วยน้ำหนักที่เบา ใช้ไปนานๆก็ไม่เมื่อยครับ
.................................................................................................................
เปรียบเทียบ OS และความน่าประทับใจในการใช้งาน
OS ของทั้งคู่ต่างกันครับเจ้า iPad ใช้ iOS ส่วน Galaxy Tab ใช้ Androidตรงส่วนนี้ iOS เสถียรและใช้งานได้ไหลลื่นกว่า การใช้งานง่ายไม่ซับซ้อนรวมทั้ง App ต่างๆก็มีมากกว่า และคุณภาพดีกว่า Android อย่างเห็นได้ชัดเจน (ผมคิดว่าเป็นเพราะ Spec ของ Android มีความหลากหลายส่วน iOSมันคงที่การที่จะพัฒนา App ให้ใช้ได้ครอบคลุมจึงเป็นเรื่องยาก)
แต่ก็มีข้อติในเรื่องข้อจำกัดที่การจะลงเพลง ภาพ หรือหนังต้องผ่าน iTune แม้จะมีทางเลือกอื่น แต่ก็ไม่สะดวก และจำกัดการปรับแต่งต่างๆ รวมทั้งเรื่องพื้นฐานที่ควรจะทำได้ ก็ถูกจำกัดถ้าจะปรับอะไรมากๆ รวมทั้งทำลายข้อจำกัดหยุมหยิมพวกนี้ก็ต้อง Jailbreak เครื่องเอานะฮะ และ iPad ยังด้อยกว่าตรงเพิ่มหน่วยความจำภายนอกไม่ได้
ในส่วนของ Android ใน Galaxy Tab ผมมองว่ามีคนพูดกันเยอะว่า มันเหมือนมือถือขยายขนาด แต่ก็สร้างความแตกต่างในการใช้งานครับ (และด้วย Android 2.2 โดยเนื้อแท้ก็ไม่ได้สร้างมาเพื่อ Tablet ด้วย)
จริงๆลูกเล่นต่างๆมันให้มาครบถ้วนกว่า iOS ครับยืดหยุ่นกว่ามาก แต่ก็ค่อนข้างซับซ้อนกว่า รวมทั้งความลื่นไหลก็ยังเป็นรอง แต่ด้วยความที่มันให้มาครบถ้วนนี่ละฮะ ทำให้การใช้งานไม่มีข้อจำกัด มีกล้อง 3MP รวมทั้งมีกล้องหน้า และการใช้งานเป็นโทรศัพท์ได้ทำให้แม้จะใช้เป็นเครื่องหลัก เครื่องเดียวก็สามารถที่จะทำได้ครับ ไม่จำเป็นต้องซื้อมือถืออีกเครื่องก็ได้ เปรียบเทียบ OS และความน่าประทับใจในการใช้งาน
OS ของทั้งคู่ต่างกันครับเจ้า iPad ใช้ iOS ส่วน Galaxy Tab ใช้ Androidตรงส่วนนี้ iOS เสถียรและใช้งานได้ไหลลื่นกว่า การใช้งานง่ายไม่ซับซ้อนรวมทั้ง App ต่างๆก็มีมากกว่า และคุณภาพดีกว่า Android อย่างเห็นได้ชัดเจน (ผมคิดว่าเป็นเพราะ Spec ของ Android มีความหลากหลายส่วน iOSมันคงที่การที่จะพัฒนา App ให้ใช้ได้ครอบคลุมจึงเป็นเรื่องยาก)
แต่ก็มีข้อติในเรื่องข้อจำกัดที่การจะลงเพลง ภาพ หรือหนังต้องผ่าน iTune แม้จะมีทางเลือกอื่น แต่ก็ไม่สะดวก และจำกัดการปรับแต่งต่างๆ รวมทั้งเรื่องพื้นฐานที่ควรจะทำได้ ก็ถูกจำกัดถ้าจะปรับอะไรมากๆ รวมทั้งทำลายข้อจำกัดหยุมหยิมพวกนี้ก็ต้อง Jailbreak เครื่องเอานะฮะ และ iPad ยังด้อยกว่าตรงเพิ่มหน่วยความจำภายนอกไม่ได้
ในส่วนของ Android ใน Galaxy Tab ผมมองว่ามีคนพูดกันเยอะว่า มันเหมือนมือถือขยายขนาด แต่ก็สร้างความแตกต่างในการใช้งานครับ (และด้วย Android 2.2 โดยเนื้อแท้ก็ไม่ได้สร้างมาเพื่อ Tablet ด้วย)
จริงๆลูกเล่นต่างๆมันให้มาครบถ้วนกว่า iOS ครับยืดหยุ่นกว่ามาก แต่ก็ค่อนข้างซับซ้อนกว่า รวมทั้งความลื่นไหลก็ยังเป็นรอง แต่ด้วยความที่มันให้มาครบถ้วนนี่ละฮะ ทำให้การใช้งานไม่มีข้อจำกัด มีกล้อง 3MP รวมทั้งมีกล้องหน้า และการใช้งานเป็นโทรศัพท์ได้ทำให้แม้จะใช้เป็นเครื่องหลัก เครื่องเดียวก็สามารถที่จะทำได้ครับ ไม่จำเป็นต้องซื้อมือถืออีกเครื่องก็ได้
................................................................................................................
เปรียบเทียบในเรื่องราคา (ข้อนี้สำคัญที่สุดเลยแหะ อิอิ)
ราคาของ Galaxy Tab เครื่องศูนย์ 22900 บาทครับ (ซึ่งตอนนี้ราคาร้านส่งจะประมาณ 20900 บาท จะมีขายอยู่ที่ความจุเดียว 16G แต่สามารถเพิ่มหน่วยความจำภายนอกได้อีก 32G ครับ)
ส่วนราคาของ iPad เครื่องศูนย์เริ่มต้นที่ 15900 บาทไปจนถึง 25900 บาทซึ่งถ้าเอามาเทียบกันก็ควรเริ่มที่ตัว 16G 3G WIFI ครับราคา 19900 บาทถึงจะเหมาะสมกับการเปรียบเทียบกัน
จากที่ได้นำมาเปรียบเทียบให้ดูกันก็น่าจะเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจกันได้นะครับ ว่าชอบตัวไหนมากกว่ากัน จริงๆก็อย่างที่บอกมันน่าใช้ทั้งคู่ละฮะ อยู่ที่ Lifestyle และความชอบของแต่ละบุคคลมากกว่าครับ
สำหรับในปีนี้ 2011 ก็จะมี Tablet ออกมากันให้เพียบครับ ก็ลองหาข้อมูลและตัดสินใจกันให้ดีๆ ขอให้เลือกซื้อได้ของถูกใจ ไม่ผิดหวังกันนะครับเปรียบเทียบในเรื่องราคา (ข้อนี้สำคัญที่สุดเลยแหะ อิอิ)
ราคาของ Galaxy Tab เครื่องศูนย์ 22900 บาทครับ (ซึ่งตอนนี้ราคาร้านส่งจะประมาณ 20900 บาท จะมีขายอยู่ที่ความจุเดียว 16G แต่สามารถเพิ่มหน่วยความจำภายนอกได้อีก 32G ครับ)
ส่วนราคาของ iPad เครื่องศูนย์เริ่มต้นที่ 15900 บาทไปจนถึง 25900 บาทซึ่งถ้าเอามาเทียบกันก็ควรเริ่มที่ตัว 16G 3G WIFI ครับราคา 19900 บาทถึงจะเหมาะสมกับการเปรียบเทียบกัน
จากที่ได้นำมาเปรียบเทียบให้ดูกันก็น่าจะเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจกันได้นะครับ ว่าชอบตัวไหนมากกว่ากัน จริงๆก็อย่างที่บอกมันน่าใช้ทั้งคู่ละฮะ อยู่ที่ Lifestyle และความชอบของแต่ละบุคคลมากกว่าครับ
สำหรับในปีนี้ 2011 ก็จะมี Tablet ออกมากันให้เพียบครับ ก็ลองหาข้อมูลและตัดสินใจกันให้ดีๆ ขอให้เลือกซื้อได้ของถูกใจ ไม่ผิดหวังกันนะครับ
ข้อมูลจาก http://www.pantip.com/cafe/mbk/topic/T10093097/T10093097.html
การทำ Review ของแต่ละกูรู นั้น ก็มีความเอนเอียงกันบ้างเป็นเรื่องธรรมดา ทั้งนี้ ทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับคุณผู้อ่านเองนั่นล่ะค่ะ ว่าจะพิจารณาเห็นเป็นเช่นไร สินค้าทุกชิ้น มีจุดเด่น และจุดด้อยเป็นของตัวเอง อย่างที่บทความด้านบนบอกล่ะค่ะ มันขึ้นอยู่กับ "Lifestyle และความชอบของแต่ละบุคคลมากกว่า"
Khonoffice หารุ่นของ Galaxy มาให้พิจารณาเลือกดูค่ะ ว่าชอบรุ่นไหนแบบใด ราคาเป็นเช่นไร ลอง ค้นหาตามชื่อด้านล่างเลยน่ะค่ะ
รุ่น Samsung Galaxy Tab
Samsung P6800 Galaxy TAB 7.7
Samsung Galaxy Tab P1000
Samsung Galaxy Tab 7.0 Plus P6200
Samsung Galaxy Tab 3G
Samsung Galaxy Tab 8.9 3G 16GB
Samsung Galaxy Tab 10.1 WiFi 16GB
Samsung Galaxy Tab 10.1 3G+WiFi 16GB

9 ข้อห้ามในการทำ SEO

 1.อย่าทำการโกงหรือหลอกลวง Search Engine เพื่อการทำอันดับทุกวิธี หากโดนแบนแล้วการยื่นอุธรณ์ไม่ได้แปลว่าจะพ้นโทษได้เสมอไป
 2.หลีกเลี่ยงการใช้ Meta Tag Refresh
 3.หลีกเลี่ยงการใช้โปรแกรม เข้าช่วยเหลือในทุกๆขั้นตอนในการดำเนินงาน เช่น โปรแกรมช่วย Generate หน้าเพจต่างๆ Search Engine จะจับได้ทั้งหมด
 4.การทำ Robots Invite บ่อยครั้งเกินไป จนรบกวนระบบ
 5.การใช้คำบ้านๆ ทั่วไปในการนำมาทำเป็น Text Link เช่น “คลิกที่นี่”
 6.การทำหน้าเว็บไซต์ให้มีจำนวนเกิน 100 ลิงค์ ส่งผลเสียอย่างรุนแรงต่อการทำงานของ Search Engine Robots
 7.การที่เว็บไซต์ของเราปล่อยให้มีลิงค์เสีย หรือ Broken Link ส่งผลเสียต่อความน่าเชื่อถือมาก
 8.การทำลิงค์ไปยังเว็บไซต์อื่นๆ เพื่อหวังค่าคะแนน PageRank โดยที่ Web Hosting มีIP เดียวกันทั้ง 2 เว็บไซต์ จะไม่ส่งผลอะไรกับค่าคะแนน
 9.อย่าทำ Black SEO ทุกประเภท Gray SEO ก็อย่าน่าเกลียด

ลาก่อน Flash บน Android!


ข่าวล่าสุดรายงานว่า Adode จะไม่ทำ Flash บน Android 4.1 และจะปิดการติดตั้งจาก Google Play ตังแต่วันที่ 15 สิงหาคมนี้เป็นต้นไป ปิดฉากอนาคตของปลั๊กอินดังกล่าวบน Android อย่างถาวร

หลังจากที่มีการเปิดตัว Android 4.1 Jelly Bean ไปเมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา หลายฝ่ายก็ตั้งตารอความเคลื่อนไหวจาก Adobe ว่าจะทำปลั๊กอิน Flash ออกมารองรับระบบปฏิบัติการดังกล่าวหรือไม่หลังจากที่แสดงแนวโน้มตีจากแพลตฟอร์มโมบายตั้งแต่ปีที่แล้วและหันมาสนับสนุน HTML5 แทน แต่จากข่าวประกาศที่จั่วหัวไว้ก็ทำให้ไม่ต้องเดาคงรู้ว่า ต่อไปนี้จะไม่มี Flash บนแพลตฟอร์ม Android อีกต่อไป
ส่วนใครที่ยังอยากติดตั้งก็คงต้องรีบหน่อยแล้วครับ เพราะหลังจากวันที่ 15 สิงหาคมนี้ Flash คงม้วนเสื่อกลับบ้านไป คงเหลือไว้ก็แต่การอัปเดตสำหรับเครื่องที่ติดตั้งอยู่แล้วครับ
ที่มา: The Verge
ข้อแตกต่างของ ระบบปฏิบัติการ Android! ก่อนหน้านี้คือ สามารถเล่น Flash ได้เป็นปกติ ซึ่งเป็นความแตกต่างที่ iOS ของ แอปเปิ้ลที่ไม่สามารถเล่นไฟล์ Flash ได้ ทำให้สาวกของ Android ได้ใจและเอาข้อนี้มาเปรียบเทียบกัน และในแต่ตอนนี้ ระบบปฏิบัติการ Android! ก็จะไม่สามารถเล่น Flash ได้แล้ว T_T  น่าเสียดายจริง ๆ

จริงหรอ!! Windows Phone จะแซง iPhone ในปี?

ในขณะที่หลายคนยังสงสัยในโอกาสของ Windows Phone แต่ล่าสุด บ.วิจัยไอดีซีออกมาฟันธงว่า ไม่เพียงแต่ Windows Phone จะสามารถเอาชนะ BlackBerry ได้แล้ว มันยังจะแซงหน้าอุปกรณ์ iOS (iPhone, iPod Touch และ iPad) ของ Apple และสามารถขึ้นแท่นแพลตฟอร์มสมาร์ทโฟนยอดนิยมอันดับสองของโลกภายในปี 2016 อีกด้วย

นับว่าเป็นการคาดการณ์ที่ฟังดูสุดโต่งมากทีเดียว เนื่องจากปัจจุบัน Windows Phone มีส่วนแบ่งตลาดเฉพาะในไตรมาสแรกของปี 2012 แค่ 2.2% ในขณะที่ BlackBerry ครองส่วนแบ่งตลาด 9.7% และหากจะพูดถึง iPhone อย่างเดียว (ไม่นับรวมอุปกรณ์ iOS อื่นๆ) ก็ครองส่วนแบ่งตลาดอยู่สูงถึง 23% ซึ่ง Windows Phone ถือว่า มีการเติบโตที่ช้ามาก แต่นักวิเคราะห์ไอดีซีกลับเชื่อว่า Windows Phone จะม่ีการเติบโตที่รวดเร็วภายใน 4 ปี โดยเฉพาะการรุกทางด้านราคา และตลาดเกิดใหม่ โดยคาดการณ์ว่า ส่วนแบ่งตลาดของ Windows Phone ทีมีอยู่ทั้งหมดในปัจจุบัน 5.2% จะก้าวกระโดดเป็น 19.2% ในปี 2016 ในขณะที่อุปกรณ์ iOS จะตกลงจาก 20.5% เหลือ 19% แพ้ Windows Phone ซะงั้น??? ส่วนแพลตฟอร์มอื่นๆ อย่าง Android จะยังครองแชมป์อันดับหนึ่ง แต่ก็ลดลงจาก 61% เหลือ 52.9%
บริษัทวิจัยดังกล่าวไมได้เปิดเผยแค่ตัวเลขสถิติที่มีการคาดการณ์เท่านั้น แต่ยังให้เหตุผลถึงความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เกินคาดของ Windows Phone ด้วย โดยให้เครดิตของความสำเร็จว่าจะมาจากจุดแข็งของ Nokia ในตลาดเกิดใหม่ทีต้องการสมาร์ทโฟนราคาไม่แพง แต่ตอบโจทย์การใช้งานครบถ้วน ซึ่ง Nokia เป็นแชมป์ยอดขาย Windows Phone ในปัจจุบัน นั่นหมายความว่า มันมีโอกาสที่จะพัฒนาตลาดเกิดใหม่อย่างประทศในแถบเอเชีย ละตินอเมริกา และแอฟริกา ให้หันมาใช้วินโดวส์โฟนภายใต้แบรนด์โนเกียได้ไม่ยากเย็นนัก โดยในขณะที่แอปเปิ้ลกำลังขยายตลาดในจีน และยุโรป แต่มันยังมีตลาดในส่วนอื่นๆ อีก ในขณะเดียวกันการขยายตลาดดังกล่าวของ Apple ไม่ได้ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร บ.วิจัยยังมองอีกว่า วินโดวส์โฟนจะเป็นสมาร์ทโฟนที่เจาะเข้าตลาดล่างได้ ในขณะที่ Apple ยังคงส่งมอบ iPhone เครื่องเก่าให้ลูกค้าในราคาที่ถูกลง ไอดีซีเชื่อว่า ลูกค้าจะเลือกของใหม่อย่างวินโดวส์โฟนมากกว่า iPhone ตกรุ่น - -"
นอกจากการขยายส่วนแบ่งตลาดผ่าน Nokia แล้ว วินโดวส์โฟนจะยังได้รับแรงขับเคลื่อนจากโอเปอเรเตอร์ยักษ์ใหญ่อย่าง AT&T และ Verizon ตลอดจนกระแส Windows 8 อีกด้วย ซึ่งฐานผู้ใช้พีซีทีรันวินโดวส์ในปัจจุบันสูงถึง 84% ดังนั้น Windows 8 ที่จะเปิดตัว และเข้าไปอยู่ในเครื่องผู้ใช้ด้วยอินเตอร์เฟซ Metro UI ที่คล้ายกันจะช่วยผลักดันให้เกิดการใช้วินโดวส์โฟนมากขึ้น??? ทั้งหมดทั้งมวลคือปัจจัยที่ทำให้ไอดีซีเชื่อว่า วินโดวส์โฟนจะสามารถแซงหน้า iPhone ได้ภายใน 4 ปี แต่มันดูเหมือนจะมองโลกในแง่ดีเกินไป หรือเปล่า? แต่บริษัทวิจัยยังคงยืนยันความคิดของตนเองว่า ตลาดสมาร์ทโฟนวันนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ แม้วินโดวส์โฟนจะมีส่วนแบ่งตลาดค่อนข้่างน้อยมากในขณะนี้ แต่ก็สามารถขึ้นเป็นอันดับสองได้ เพราะตลาดโดยรวมยังอยู่ในระยะเริ่มต้น มีความอ่อนไหว เปลี่ยนแปลงได้ง่าย ซึ่งนั่นคือโอกาสที่วินโดวส์โฟนทีจะก้าวขึ้นมาเป็นอันดับสองของโลกได้ ว่า
แต่...คุณผู้อ่าน ล่ะค่ะ คิดเห็นอย่างไรกับประเด็นนี้ Windows Phone จะสามารถโค่น iPhone ได้ภายในอีกไม่กี่ปีได้ หรือไม่?
ที่มาจาก: http://www.arip.co.th/news.php?id=415276