แอพ Chrome บน iPhone, iPad มาแล้ว

ความพยายามของกูเกิ้ลในการที่จะผลักดัน Chrome เข้าไปแทนที่บราวเซอร์ซาฟารี (Safari) ของแอปเปิ้ลครั้งนี้ ได้รับการเปิดเผยในงานดังกล่าวหลังจากที่ทางบริษัทได้ประกาศเปิดตัว Google Nexus 7 "แท็บเล็ต"ราคาถูกที่ออกมาต่อกรกับ Kindle Fire ของ Amazon และไอแพดของแอปเปิ้ล ซึ่งหากแอพโครมประสบความสำเร็จบนอุปกรณ์โมบายของแอปเปิ้ลก็จะทำให้กูเกิ้ลได้กำไร แม้จะเป็นของฟรีก็ตาม เนื่องจากปัจจุบันปัจจุบัน กูเกิ้ลต้องแบ่งรายได้จากโฆษณาให้กับแอปเปิ้ล เพื่อต้องแลกกับการติดตั้งกูเกิ้ลเสิร์ชเอ็นจิ้นเข้าไปในบราวเซอร์ซาฟารีเวอร์ัชันโมบาย โดยกูเกิ้ลจะไม่ต่องแบ่งจ่ายรายได้จากโฆษณาในเสิร์ชที่ใช้บนแอพฯ Chrome ทั้งนี้มีรายงานว่า กูเกิ้ลจะต้องแบ่งค่านายหน้าของโฆษณาบนบริการเสิร์ชที่คลิกจากในบราวเซอร์ซาฟารีสูงถึง 60% เลยทีเดียว
ก่อนหน้าที่แอพฯ บราวเซอร์โครมบนอุปกรณ์โมบายของแอปเปิ้ลจะเปิดตัวเมื่อวานนี้ เมื่อเดือนก่อนทางยาฮูก็เพิ่งจะออกแอพฯบราวเซอร์ชื่อว่า Axis สำหรับใช้งานบนไอโฟน และไอแพด แต่สิ่งที่แตกต่างอย่างชัดเจนก็คือ โครมเวอร์ชันเดสก์ทอปกำลังก้าวสู่การเป็นบราวเซอร์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดแทนที่ไออีของไมโครซอฟท์ในเร็ววันนี้ นอกจากนี้ทางกูเกิ้ลยังเปิดเผยอีกด้วยว่า ปัจจุบันมีผู้ใช้บราวเซอร์โครมทั่วโลกที่ใช้งานจริงจังมากกว่า 310 ล้านรายจาก 160 ล้านรายเมื่อปีที่แล้ว แม้โครมบราวเซอร์จะมีอายุแค่ 4 ปีกว่าๆ แต่มันก็ประสบความสำเร็จรวดเร็วมาก โดยก่อนหน้านี้ก็เพิ่งจะพัฒนาจากบราวเซอร์เป็นโอเอสสำหรับโครมบุ๊ก (โน้ตบุ๊กที่ทำงานผ่านระบบคลาวด์คอมพิวติ้ง) ที่วางขายผ่านเน็ต และจะวางตลาดในเบสท์บายในสหรัฐฯ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป อย่างไรก็ดี ขณะรายงานข่าวพบว่า ยังไม่เสิร์ชพบ และดาวน์โหลดแอพฯ Chrome บน iOS มาใช้งานได้ - -"
ที่มาจาก: http://www.arip.co.th/news.php?id=415327http://www.arip.co.th/news.php?id=415327

10 เว็บไซต์สำหรับเล่น Instragram

. Extrag.am

ล็อกอินเพื่อดูโปรไฟล์ตัวเองได้, ค้นหารูปจากแท็กได้, ดูรูป Popular ได้ (แต่บังคับให้ใส่อีเมลก่อนใช้งานเว็บนะ)


2. Intstagre.at

ดูรูป Popular ได้ผ่านการไถ scroll mouse รัวๆ


3. Pinstagram.co

ดูรูป Instagram ในสไตล์ Pinterest แถมกด Pin รูปที่ชอบเข้า Pinterest ได้จริงๆ ด้วยนะ


4. Followgram.me

อันนี้เหมาะสำหรับแบรนด์ทั้งหลาย ถ้าสมัครเว็บนี้แบบ Pro จะสามารถสร้าง Instagram Brand Page ใน Followgram ได้แหละ (ไม่งงนะ)


5. Gramfeed.com

ค้นหารูปในอินสตาแกรมจาก location ได้


6. Hashtagram.com

ดูรูปในอินสตาแกรมจาก hashtag แบบ slide show ใหญ่เบ้งๆ


7. Web.stagram.com

ส่วนตัวใช้เว็บนี้ในการดูรูปอินสตาแกรมอยู่ ฟีเจอร์ดี ดูง่าย ใช้สะดวก


8. Ink361.com

มีฟีเจอร์สร้างอัลบั้มได้ด้วย


9. Webbygram.com

เว็บนี้บอกว่าสร้างมาเพราะเหนื่อยที่จะรอให้อินสตาแกรมสร้าง web app ของตัวเองเต็มทน (ฮา)


10. Instagrid.me

ดูรูป Instagram ได้สบายตา ดูได้ทั้ง List View และ Grid View

ข้อเสียของการแลก Text Link เพื่อ PR

เมื่อ 2 เดือนก่อน Khonoffice ได้นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับการแลกลิงค์ หรือ Add URL แล้วคิดไปเองว่าทำง่าย ๆ ไปฝากลิงค์ไว้กับเว็บไซต์ที่ PR สูง ๆ ก็น่าจะทำให้เว็บไซต์เราได้รับอานิสงฆ์ไปด้วย แต่พอมาเจอบทความนี้ต้องร้อง โอ้ววว.... กันเลยที่เดียว ไม่ว่าอะไรก็ไม่ง่ายอย่างที่คิดเลยอ่ะค่ะ บางครั้งสิ่งที่เราเข้าใจก็เป็นสิ่งที่ผิด อิอิ แต่ไม่เป็นไร ของแบบนี้ลองผิดลองถูก็ไม่เสียหาย ดังคำที่ว่า "ผิดเป็นครู ผิดบ่อย ๆ เป็นอาจารย์ใหญ่" - -" งั้นมาอ่านบทความนี้กันดีกว่าค่ะ ด้านล่างนี้เลย
เนื่องจากอันนี้เป็น Post อันแรกของผมสำหรับ Blog Sci-Art-SEO นี้ ผลจึงขอแสดงความเห็นแรง ๆ ซึ่งค่อนข้างจะขัดต่อแนวทางของคนไทยที่ทำ SEO อยู่กันสักหน่อย แต่จากการที่ผมเก็บข้อมูลมาสักระยะหนึ่งแล้ว ผมจึงแน่ใจว่าอันนี้แหละสำคัญ ควรจะเปิดประเด็นให้ได้อ่านและแสดงความคิดเห็นกัน

ทุกวันนี้ ผมว่ากลุ่มคนไทยหลาย ๆ กลุ่มที่ทำ SEO อาจจะสับสนในเรื่องนี้กันไม่น้อย เพราะดูเหมือนว่าจะทำ SEO offpage โดยอาศัยการแลก link โดยไม่สนใจว่าเว็บที่เราแลกลิ้งค์ด้วยนั้นเป็นอย่างไร เป็นเว็บ spam หรือเปล่า ซึ่งหลาย ๆ คนแลกลิ้งค์โดยดูจาก PageRank (PR) อย่างเดียวจริง ๆ โดยที่ให้เหตุผลว่า “ก็วัดคุณภาพจาก PR ไง” … แต่ในมุมมองของผมนั้น PR แค่ส่วนเดียวไม่ใช่ทั้งหมด เราต้องยอมรับว่า PR ของแต่ละเว็บ จะยิ่งสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ไม่ว่าเว็บ ๆ นั้นจะเป็นเว็บ spam หรือเปล่า เพราะว่าเค้าก็จะตามหาลิ้งค์เข้ามาเพิ่มเรื่อย ๆ (รวมไปถึงวิธีการแลกลิ้งค์ด้วย) … แต่อย่าลืมว่า เว็บ PR สูงไม่ติดอันดับต้น ๆ นั้นมีเยอะแยะไป ซึ่งหากคุณไปแลกลิ้งค์กับเว็บ spam พวกนี้ คุณก็อาจจะถูกมองว่าเป็นเว็บ spam ไปด้วย อย่าลืมนะครับว่าเว็บ spam ไม่มีอะไรจะเสีย แต่คุณมี (ถ้าคุณไม่ใช่เว็บ spam เช่นกันน่ะนะ)

หากคุณต้องการจะแลกลิ้งค์กับเว็บใด ๆ แล้วละก็ อันดับแรกเลยดูว่าเว็บนั้นถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการ spam เป็นหลักหรือเปล่า จากนนั้นให้ดูว่า เว็บหรือเพจ ๆ ที่เราต้องการแลกลิ้งค์นั้น มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกันกับเว็บเราหรือเปล่าด้วย เพราะถ้าหากไม่ มันคงจะไม่มีประโยชน์อะไรมากนัก ยกตัวอย่างเช่น visitor หนึ่งคนกำลังหาข้อมูลคอมพิวเตอร์อยู่ และเข้ามาดูข้อมูลในหน้าหนึ่งของเว็บ A แต่ลิ้งจากหน้านี้ดันยิงไปหาเว็บ B ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับข้าวผัด แบบนี้มันจะมีประโยชน์ไหม?

ผมมองว่า link แบบนี้ไม่มีคุณภาพแน่นอน โดยให้เหตุผลตามนี้
1. อย่างแรกสุดเลยคือ ถ้าผมเป็น visitor คนนั้น ผมจะไม่ click ไปที่ลิ้งที่จะส่งผมไปเว็บข้าวผัดแน่นอน เพราะผมหาข้อมูลคอมพิวเตอร์ไม่ใช่ข้าวผัด
2. ถึงผมจะลองคลิ้กดู หรือโดนหลอกให้ click ไป ผมก็คงไม่อ่าน เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ผมกำลังหา
3. ด้วยเหตุการแบบนี้ จะทำให้ผมคลางแคลงใจว่าไอ้เจ้าเว็บ A (คอมพิวเตอร์) จะลิ้งไปที่เว็บ B (ข้าวผัด) ทำไม ไม่เห็นเกี่ยวไรกันเลย … และทำให้ผมคิดต่อว่า แล้วงี้จะเชื่อใจไอ้เจ้าเว็บนี้ดีหรือปล่าว ให้ข้อมูลเราถูกหรือไม่ก็ชักจะไม่แน่ใจ

แน่นอนครับว่าคุณอาจจะบอกว่า “แต่บอทไม่ใช่คน การทำ SEO นั้นทำให้บอทอ่าน ไม่ใช่คนอ่าน” … ก็ใช่ครับ แต่ถ้าคุณตอบมาแบบนี้ ผมว่ามันไม่ค่อยจะถูกต้องนะ ซึ่งผมก็มีเหตุผลกับเรื่องนี้อีกเหมือนกัน
1. คุณอาจจะคิดว่าบอทเป็นแค่หุ่นยนต์กระจอก ๆ หนึ่งตัว ตามคุณไม่ทันหรอก แต่คุณลองคิดดูดี ๆ นะครับ ว่าคนพัฒนาบอทมีหลายคน ทำงานเป็นทีม แก้ปัญหาทุกวัน เพื่อให้ทำงานได้เหมือนมนุษย์มากที่สุด เพราะงั้นเรื่องแค่นี้ คงรับรู้ได้ไม่ยาก เพราะ keyword ของ เพจของเว็บ A กับของเว็บ B นั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง
2. แถมทุกวันนี้แทบทุกคนติดตั้ง Google Analytics ไว้อีก ยิ่งทำให้รู้ว่าเข้ามาแล้วอ่านหรือเปล่าอีก คุณคิดว่าบอทจะอยู่เฉย ๆ เหรอครับ ถ้าเป็นเด็กก็คงจะกลับไปบอกแม่ว่าแม่ 2 เพจนี้ไม่เห็นเกี่ยวกันเลย แบบนี้ควรลดคุณภาพของเพจนะ กรณีตัวคนที่ได้ลิ้งเองคงจะไม่โดนอะไร(เพราะคอนโทรลอะไรไม่ได้อยู่แล้ว) และอาจจะได้ค่าอะไรสักอย่างเล็ก ๆ น้อย(และคงจะน้อยมากเพราะไม่เห็นจะมีอะไรเกี่ยวกันเลย) ในขณะที่ไอ้เจ้าเว็บที่ยิงลิ้งค์ออกไปให้เนี่ยสิ จะโดนมองว่าไม่รู้จักการคัดกรองให้ดี บ่งบอกถึงคุณภาพที่ไม่ดี

เพราะงั้นเอง กรณีแลกลิ้งมั่ว ๆ มีความน่ากลัวต่อผลกระทบคุณภาพเว็บไซต์ได้ …แต่ถ้าในส่วนของกรณีหาลิ้ง เพิ่มเข้ามาเรื่อย ๆ ก็อย่างที่บอกครับว่ามันได้ แต่ก็อาจจะไม่คุ้มกับเวลาที่เสียไป ผมว่าลิ้งคุณภาพ 1 ลิ้งค์ ยังมีมากกว่า link ที่ไม่มีคุณภาพ 100 link เลย เพราะฉะนั้นเอาเวลามาลุยทางอื่นดีกว่าครับ ถ้าจะหาลิ้งค์ก็ดูว่าเว็บเรามีข้อมูลไปทางไหน แล้วหาที่มันเกี่ยวข้องกันดีกว่าครับ

ผมได้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ จาก วิดีโอของ Rand fish ที่เป็น ceo ของ seomoz ด้วย สำหรับคนที่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมก็ตามไปอ่านได้ที่ Trsut Rank กับ link ในการทำ seo นะครับ

อ่านแล้วร้องอ้อออ กันเลยหรือเปล่าค่ะ ดังนั้นก่อนที่เราจะ Add URL กับใคร ต้องพิจารณาดูให้ดูก่อนน่ะค่ะ ว่าเขาอยู่ในเนื้อหาประเภทเดียวกับเราหรือเปล่า อย่าทำสุ่มสี สุ่มห้าอีกล่ะ เดี๋ยว Google มองว่าเราเป็น Spam
ที่มาของบทความ: http://www.sciartseo.com

วิธีการตั้งค่าให้ Firefox, Intetnet Explorer หรือ Google Chrome เป็น Browser ตัวหลักของเครื่อง

ค้นหาข้อมูลไป...ค้นหาข้อมูลมา ไปเจอทริปดี ๆ ที่มันเป็นจุดใต้ตำตอจริง ๆ บางครั้งมีหลาย Browser แต่มันก็ไม่ได้ดังใจเล๊ยยยจริง ๆ ไปเจอข้อมูลของบล็อกนี้ ขอนำมาแชร์หน่อยล่ะกันคร้าา

ปัญหานี้เกิดจากมีคนมาถามผมว่า เวลาเปิดไฟล์ เปิดเว็บ เปิดลิ้งค์ บน MSN หรือจากที่อื่นๆ มันดันไปเปิด Internet Explorer เอง อยากให้เปิดจาก Browser จะทำยังไง
คำตอบคือ ต้องไปตั้งให้ Browser สักตัวบนเครื่องเป้นตัวหลักซะก่อน
เช่น เครื่องผมมี Firefox 5 , Internet Explorer 9, Google Chrome 12 อยากให้ Firefox เป้นตัวหลักจะทำยังไง
เอาเป้นว่า ผมบอกวิธีทั้ง 3 Browser เลยละกัน จะได้ไปตั้งกันบนเครื่อง ตามความชอบว่าอยากให้ตัวไหนเป็น Browser หลักของเครื่อง
อยากให้ Internet Explorer เป็นตัวหลัก
- เปิด IE ไปที่เมนู Tools หรือรูปเฟือง แล้วเลือก Internet Options
วิธีการตั้งค่าให้ Intetnet Explorer  เป็น Browser ตัวหลักของเครื่อง
- ไปที่แท๊บ Programs ในส่วนของ Default Web Browser ให้เลือก Make Default
ถ้ามีหน้าต่างให้ยืนยัน ก็กด Yes ได้เลยครับ
วิธีการตั้งค่าให้ Intetnet Explorer  เป็น Browser ตัวหลักของเครื่อง
อยากให้ Firefox เป็นตัวหลัก
- ไปที่เมนู Tools >> Options
วิธีการตั้งค่าให้ Firefox  เป็น Browser ตัวหลักของเครื่อง
- กดไปที่รูป Advance ทางด้านล่างจะมีปุ่ม Check Now ให้กดเพื่อเช็คว่า Firefox เป้น Browser หลักหรือยัง ถ้ายังก้จะมีหน้าต่างถามให้กด Yes ก็เสร็จแล้วครับ
วิธีการตั้งค่าให้ Firefox  เป็น Browser ตัวหลักของเครื่อง
อยากให้ Google Chrome เป็นตัวหลัก
- กดรูปประเแจ(ตามภาพ) เลือก Option
วิธีการตั้งค่าให้ Google Chrome  เป็น Browser ตัวหลักของเครื่อง
- ด้านล่างสุด ให้กดปุ่ม “Make Google Chrome my Default Browser” ครับ แค่นี้ก็เสร็จแล้ว
วิธีการตั้งค่าให้ Google Chrome  เป็น Browser ตัวหลักของเครื่อง

ปรับแต่งง่าย ๆ ไม่หลายขั้นตอน แถมทำงานได้ดังใจจริง ๆ

ที่มาจาก: http://notebook-lookup.blogspot.com/2011/07/firefox-intetnet-explorer-google-chrome.html

ทำกรอบรูปเหมือนกระดาษฉีกหรือรอยเผา

ขั้นตอนที่ 1 เปิดรูปที่ต้องการขึ้นมา

ขั้นตอนที่ 2 คลิก New layer หรือ กด Ctrl+Shift+Alt+N

ขั้นตอนที่ 3 ดับเบิ้ลคลิก Background Layer แล้วกด Ok เพื่อปลดล็อคกุญแจ

ขั้นตอนที่ 4 คลิก Layer 0 แล้วลากไปไว้ข้างบน

ขั้นตอนที่ 5 เลือกเครื่องมือ Lasso Tool (L) แล้วลากตามขอบให้ดูคล้าย ๆ เหมือนรอยไหม้

ขั้นตอนที่ 6 เลือกเมนู Select>Inverse (Shift+Ctrl+I) เพื่อกลับ Selection ให้เลือกขอบแทน

ขั้นตอนที่ 7 กดปุ่ม Delete เพื่อลบส่วนที่เราเลือกไว้
ขั้นตอนที่ 8 เลือกเมนู Select>Inverse (Shift+Ctrl+I) อีกครั้ง เพื่อทำการ Save Selection
ขั้นตอนที่ 9 เลือกเมนู Select>Save Selection แล้วตั้งชื่ออะไรก็ได้ค่ะ

ขั้นตอนที่ 10 เลือกเมนู Select>Transform Selection


ขั้นตอนที่ 11 ลากจากขอบเดิมให้พอเหมาะ เพราะเป็นระยะของรอยไหม้

ขั้นตอนที่ 12 จากนั้นเลือกเมนู Select>Save Selection แล้วตั้งชื่อ อีกครั้ง

ขั้นตอนที่ 13 ยังคงอยู่กันต่อที่เมนู Select > Load selection เลือก ชื่อแรกที่เราได้ตั้งเอาไว้

ขั้นตอนที่ 14 จากนั้นเลือกเมนู Select > Load selection อีกครั้ง คราวนี้เลือกชื่อที่ 2 อย่าลืมติ๊ก Subtract From Selection

ขั้นตอนที่ 15 เลือกเมนู Filter >Brush Strokes > Sumi-e

ขั้นตอนที่ 16 ก็ปรับกันเอง เลยค่ะ ตามลักษณะ ความศิลป์ในหัวใจ
ขั้นตอนที่ 17 ผลลัพธ์ที่ได้เป็นอย่างที่เห็นกันเนี้ยล่ะค่ะ

9 คุณสมบัติของนักการตลาดที่ดี

ในเดือนพย.ที่ผ่านมา ทางภาควิชาการตลาดได้จัดประชุมระหว่างผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านวิชาการประจำภาควิชากับคณาจารย์ของภาคเพื่อระดมสมองเกี่ยวกับการปรับปรุงหลักสูตร หนึ่งในประเด็นที่มีการเสวนากันก็คือเรื่องคุณสมบัติของนักการตลาดที่ดี ซึ่งผู้ทรงคุณวุฒิหลายท่าน เช่น คุณสมบุญ ประสิทธิ์จูตระกูล-นายกสมาคมการตลาด คุณวิทวัส ชัยปาณี-นายกสมาคมโฆษณาธุรกิจ คุณสุนันทา ตุลยธัญประธานกลุ่มบริษัท WPPประเทศไทย คุณสุกิจ ตันสกุล CEO ของบริษัท Custom Asia และผู้อาวุโสในวงการตลาดอีกหลายต่อหลายท่านได้ให้มุมมองเกี่ยวกับคุณสมบัติของนักการตลาดที่ดีไว้ โดยผมรวบรวมออกมาได้ 9 ประการดังนี้ครับ
1. ต้องมีความคิดสร้างสรรค์ มีจินตนาการทางการตลาด มีมุมมองความคิดที่แตกต่าง จึงจะสามารถคิดและพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาดให้ออกมาน่าสนใจและโดดเด่นได้

2. ต้องทำงานเป็นทีมได้ งานด้านการตลาดไม่สามารถทำงานคนเดียวได้ ต้องประสานกับหลายๆ ฝ่าย ทั้งภายในและภายนอกบริษัท ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายขาย ฝ่ายผลิต ฝ่ายการเงิน Supplier ผู้แทนจำหน่าย บริษัทโฆษณา บริษัทวิจัย คนประเภทที่เก่งงานอย่างเดียวแต่ไม่เก่งคน มนุษย์สัมพันธ์ไม่ดี จะเป็นนักการตลาดที่ดียาก

3. ต้องบริหารความขัดแย้งได้ดี ในการทำงานทางการตลาดเป็นงานที่ต้องมีความยืดหยุ่นสูง หลายครั้งมีความท้าทายที่ต้องคิด ต้องทำอะไรใหม่ๆ ที่ผิดจากแนวทางปฏิบัติหรือกฎที่เคยทำๆ กันมาก ประกอบกับคนในสายงานการตลาดแต่ละคนในทีมส่วนใหญ่จะมีความมั่นใจในตัวเองสูงและยึดติดกับความคิดของตนเอง จนเวทีประชุมเพื่อเสนอความคิดเห็นในบริษัทกลายเป็นเวทีมวยหรือการโต้วาที นักการตลาดที่ดีจึงจะต้องบริหารความขัดแย้งในทีมให้ได้ดีเพื่อให้การถกเถียงระหว่างความคิดเป็นไปอย่างอิสระ เห็นต่างมองต่างแต่จบลงด้วยความเข้าใจ ยอมรับซึ่งกันและกันเพื่อเดินหน้าไปด้วยกันเป็นทีมได้

4. ต้องนำเสนอความคิดเก่ง เป็นนักสื่อสารหรือนักพูดที่ดี ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่ายเพราะงานด้านการตลาดต้องใช้การสื่อสาร การพูดคุยกับคนทั้งภายในบริษัท ลูกค้าและหน่วยงานภายนอกมาก คนที่คิดเก่งพูดไม่เก่ง อธิบายให้คนฟังเข้าใจไม่ได้ จะเสียเปรียบในการนำเสนอความคิดตนเองให้เป็นที่ยอมรับในองค์กร ทำให้ความคิดดีๆ ไม่ออกมาเป็นผลงาน นักการตลาดที่นำเสนอไม่เก่งจะเสียเปรียบมากครับ ในการทำงาน

5. ต้องเป็นนักเจรจาต่อรองที่ดี งานด้านการตลาดเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ทางธุรกิจในรูปเม็ดเงินจำนวนมหาศาล การเจรจาต่อรองกับ Supplier กับตัวแทนจำหน่ายกับบริษัทตัวแทนโฆษณากับศูนย์การค้าและหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้ทางบริษัทได้รับประโยชน์สูงสุด โดยไม่ทำให้ผู้เจรจารู้สึกว่าตนโดนเอาเปรียบ เสียหน้า เสียผลประโยชน์ จะช่วยกันสร้างพันธมิตรในระยะยาวให้องค์กร นักการตลาดที่ดีจึงต้องเป็นนักเจรจาต่อรองทางธุรกิจที่ดี โดยมองประโยชน์ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ไม่ใช่แค่เป็นนักต่อราคาสินค้าเพียงอย่างเดียว

6. ต้องเป็นนักกลยุทธ์หรือที่เรียกกันว่า Strategies รู้จักการวางยุทธศาสตร์ทางการตลาด ซึ่งคุณสุกิจ ตันสกุล CEO ของบริษัท Custom Asia ขยายความว่า “เหมือนกันการเล่นหมากล้อม คนที่เล่นเก่งจะไม่คิดแค่เดินหมากเป็นตาๆ แต่จะวางกลยุทธ์การเล่นไว้ล่วงหน้าหลายๆ ตา”

นักการตลาดไม่ใช่นักขาย ที่เน้นแต่ยอดขายของวันนี้ ปีนี้ แต่ต้องวางกลยุทธ์ยาวๆ มี Business Model ที่ชัดเจนเพื่อให้แข่งขันได้อย่างมีความได้เปรียบในระยะยาว

7. ต้องเป็นนักปฏิบัติที่ดีหรือเป็น Implementator นักการตลาดที่ดีไม่ควรวางแผนกลยุทธ์อยู่แต่ในห้องแอร์ แต่ต้องลงมาเดินดิน สำรวจตลาด ลงมือปฏิบัติหรือลงมาดูว่า ฝ่ายปฏิบัติการที่ดีต้องพบกับลูกค้าจริงๆ เขาเจออะไรบ้าง แผนที่เราวางไว้เวลาลงมือปฏิบัติจริงๆ มีปัญหาอะไรบ้าง

ปัจจุบันเราจะเห็น CEO หลายคนลงมาสัมผัสงานภาคสนามเพื่อให้เข้าใจการรบภาคสนามโดยตรงอย่างคุณตัน โออิชิ หรือคุณซิคเว่ แห่ง ดีแทค

8. ต้องทันสมัยอยู่เสมอโดยต้องติดตามความเปลี่ยนแปลงของโลกให้ได้ทันเพราะวันนี้สภาพแวดล้อมทางการตลาดเปลี่ยนเร็วมาก ทั้งในด้านเทคโนโลยี พฤติกรรมของผู้บริโภค การเปลี่ยนจาก Local เป็น Global ปัจจัยที่มีผลให้ตลาดเปลี่ยนมาจากความเปลี่ยนแปลงจากภายนอกประเทศมากกว่าในประเทศ

นักการตลาดที่ดีต้องพร้อมจะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เสมอ อ่านเยอะ ฟังเยอะ กลับเข้าห้องเรียน เข้าร่วมสัมมนาเพื่อหาความรู้ใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา เมื่อเรียนรู้แล้วต้องนำมาปรับใช้กับองค์กรของตนได้อย่างรวดเร็วด้วย

9. ต้องมีจรรยาบรรณ มีความซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพ รับผิดชอบต่อลูกค้าและผู้เกี่ยวข้อง ยุคนี้เป็นยุคที่บริษัทเน้นระบบธรรมาภิบาล มีสื่อมวลชนและหน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภคทำการตรวจสอบอย่างเข้มแข็ง ลูกค้าพร้อมจะลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิของตนเอง นักการตลาดที่ขาดจรรยาบรรณจะเป็นที่รับรู้กันในสงการไม่ช้าก็เร็ว ชื่อเสียงเมื่อเสียไปแล้วกู้คืนได้ยาก การตัดสินใจของนักการตลาดวันนี้ต้องคำนึงถึงจรรยาบรรณและหลักธรรมภิบาลให้มาก

ถ้าจะยกใครสักคนเป็นตัวอย่างของนักการตลาดที่ดีโดยดูจากคุณสมบัติ 9 ประการข้างต้น ผมขอบกคุณมีชัย วีระไวทยะ ขึ้นมาเป็นนักการตลาดต้นแบบ

คนทั่วไปอาจไม่ค่อยนึกภาพคุณมีชัย ในฐานะนักการตลาดแต่จะมองท่านเป็นนักบริหาร เป็น NGO หรือนายธนาคารแต่ถ้าพิจารณาประวัติผลงานของท่าน โดยเฉาะอย่างยิ่งโครงการเพื่อสังคมที่ท่านริเริ่มต้องถือได้ว่าเป็น Marketing Campaign ระดับชาติ

ผลงานชิ้นโบว์แดงที่เป็นที่รู้จักกันดี เห็นจะเป็นโครงการรณรงค์วางแผนครอบครัวเมื่อประมาณ 30 ปีก่อน ส่งเสริมให้คนไทยมีลูกน้อยลง ด้วยสโลแกนที่เข้าใจง่ายๆ อย่าง “มีลูก 1 คนจนไป 7 ปี” “มีลูกมากจะยากจน” โดยเปิดบริการทำหมันฟรี รณรงค์ให้คนใช้ถุงยางอนามัยเพื่อการคุมกำเนิน จนชื่อเสียงของท่านกลายมาเป็นชื่อสามัญ (Generic Name) ของสินค้าประเภทนี้ ในชื่อ “ถุงมีชัย”

เมื่อ 10 กว่าปีก่อน ท่านก็เป็นผู้นำในการรณรงค์ให้คนไทยหันมาสนใจเรื่องโรคเอดส์ ซึ่งมีผลมาถึงปัจจุบันที่ทำให้ประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคนี้ลดลงและคนส่วนส่วนใหญ่เข้าใจโรคนี้ดีขึ้น

คุณสุนันทา ตุลยธัญ ประธานกลุ่มบริษัท WPPประเทศไทย เล่าให้ผมฟังว่า เคยเข้าไปช่วยคุณมีชัย วางแผนสื่อเพื่อรณรงค์เรื่องโรคเอดส์ ในช่วงที่เธอทำงานอยู่ที่โอกิลวี่ คุณมีชัยวางยุทธศาสตร์ของการสื่อสารได้เก่งมาก โดยปีแรกวาง Key Message ไว้ให้คนไทยกลัวโรคเอดส์ โดยสื่อสารออกไปว่า “เอดส์เป็นแล้วไม่หาย ตายสถานเดียว” จนคนกลัวและตื่นตัวเกี่ยวกับโรคนี้ ผู้บริหารในหน่วยงานภาครัฐด้านสาธารณสุขช่วงนั้นเคยออกมาให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่าคุณมีชัยปลุกกระแสทำให้คนกลัวเกินเหตุ จนสังคมวุ่นวาย แต่คุณมีชัยเองมองว่าถ้าคนไม่กลัวก็จะไม่ตื่นตัว ไม่สนใจหาข้อมูลเรื่องเอดส์

ในปีที่สอง คุณมีชัยรุกต่อด้วยการให้ความรู้เรื่องโรคเอดส์ว่าติดต่อได้ทางใดบ้าง จะป้องกันได้อย่างไร โดยใช้ถุงยางมีชัยเป็นเครื่องมือสำหรับในการป้องกันเอดส์ เมื่อคนกลัวก็จะสนใจหาข้อมูล มีการอบรมหญิงบริการถึงวิธีการป้องกันโรค จนคนทั่วไปรู้จักและเข้าใจโรคนี้มากขึ้น

ในปีที่ 3 ท่านวางกลยุทธ์ของการสื่อสารใหม่เป็นการให้ความรู้ว่าจะอยู่กับคนที่เป็นโรคเอดส์ ที่อยู่รวมกันในสังคมหรือในครอบครัวอย่างไร โดยบอกว่าโรคนี้ไม่ติดต่อง่ายๆ คนเป็นเอดส์ถ้ารู้จักดูแลดีๆ ก็อยู่ร่วมกับคนปกติได้เพื่อไม่ให้คนที่เป็นเอดส์ปดตัวเองเพราะเกรงว่าสังคมจะรังเกียจ ด้วยการทำตัวเหมือนคนปกติ จนนำมาสู่การแพร่โรคออกไป

จากประวัติและผลงานของคุณมีชัย วีระไวทยะ ท่านมีคุณสมบัติของนักการตลาดที่ดีทั้ง 9 ประการ ไม่ว่าจะเป็นด้านความคิดสร้างสรรค์ ทำงานเป็นทีม บริหารความขัดแย้งได้ดี เสนอขายความคิดของตนได้เก่งจนได้รับเงินสนับสนุนจากหน่วยงานทั้งในและนอกประเทศมาทำโครงการต่างๆ เป็นนักเจรจาต่อรองที่เก่ง เป็นนักวางกลยุทธ์ที่ลงมือปฏิบัติด้วยตัวเอง ทำตัวให้ทันสมัยอยู่เสมอและเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางถึงการทำงาน โดยมีหลักธรรมาภิบาลของท่าน ซึ่งในปี 2550 ที่ผ่านมา คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้มอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิติมศักดิ์ ด้านบริหารธุรกิจให้กับท่าน ผมจึงเป็นว่า ท่านน่าจะเป็นตัวอย่างและเป็นตัวแบบของนักการตลาดที่ดีได้อย่างไม่มีข้อสงสัยครับ

ได้อ่านแล้วรู้สึกว่า วิธีการเขียน และการเล่าเรื่องทำให้น่าติดตามจริง ๆ เป็นเนื้อหาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยสาระ  จนไม่รู้ว่าจะตัดส่วนใดทิ้งดี  เลยเอามาทั้งบทความเลยดีกว่า อันที่จริงแล้ว khonoffice ก็อยากเป็นนักการตลาดที่ดี แต่ยังต้องพัฒนาในอีกหลาย ๆ ด้านค่ะ

ที่มา:
http://www.marketeer.co.th/inside_detail_new.php?inside_id=50http://www.marketeer.co.th/inside_detail_new.php?inside_id=50

NopCommerce คืออะไร

วันนี้ Khonoffice มาแนะนำ CMS ที่ช่วยด้านการสร้างร้านค้าออนไลน์กันนน
NopCommerce เป็น CMS ที่เขียนขึ้นโดยใช้ ASP.Net ซึ่งเป็นช่องทางสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างธุรกิจออนไลน์ เป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมไอที, การแก้ปัญหาต่างๆ,การร้านค้าและอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งเราสามารถทำให้คุณรู้สึกแตกต่างกับการทำงานกับ nopCommerce

คุณสมบัติหลักของซอฟต์แวร์นี้คือ ง่ายในการจัดการและค่อนข้างใช้งานง่าย นี่คือเหตุผลว่าทำไม nopCommerce ถึงได้เข้ามามีศักยภาพในตลาดได้เร็วหลังจากที่ถูกเปิดตัว ใน nopCommerce ได้เขียนอย่างสมบูรณ์ใน ASP.Net 4.0 และนักพัฒนา nopCommerce มีระบบแบกเอน และฐานข้อมูล SQL Server 2005 ซึ่งวันนี้ถือเป็นแพลตฟอร์มที่มีประสิทธิภาพมากการจัดการฐานข้อมูล

nopCommerce ให้การทำงานคล้ายหน้าแคตตาล็อกและง่ายต่อการทำงานร่วมระบบหลังบ้านของผู้ดูแลที่ช่วยให้ผู้ใช้เปิดธุรกิจออนไลน์ได้ทันที แม้ว่าซอฟต์แวร์ที่มีการพัฒนาด้วย ASP.Net นั้น ผู้พัฒนาได้บริหารจัดการซอฟต์แวร์อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว nopCommerce ยังมีการทำงานที่ค่อนข้างง่าย คุณสมบัติต่างๆที่ได้ทำ nopCommerce ได้แจ้งเกิดในหมู่ผู้ใช้คือการแจ้งเตือนผ่านทาง Live Chat, สกุลเงินและการสนับสนุนหลายภาษา ขั้นตอนการเช็คเอาต์หน้ารวดเร็ว และรายละเอียดการจัดส่งผลิตภัณฑ์ที่มีการทำแผนที่เหมาะสมและอื่น ๆ อีกมากมาย

nopCommerceได้รับการสนับสนุนจากชุมชนผู้ใช้ที่เติบโตเร็วที่สุดที่มีเพิ่มขึ้นทางเทคนิคเช่นเดียวกับด้านการให้ข้อมูลของการแก้ปัญหา นี้ยังสนับสนุนเกตเวย์นิยมต่างๆ เป็นเพียงไม่กี่โอเพ่นซอร์สที่ได้รับการสนับสนุน Search Engine ซอฟต์แวร์นี้สามารถดาวน์โหลดได้จากอินเทอร์เน็ตฟรีและติดตั้งได้อย่างง่ายดายเข้าสู่ระบบ วิธีการแก้ปัญหาสามารถทำงานร่วมกับระบบต่างๆ เป็นต่อแนวโน้มต่อเนื่องในการแก้ปัญหา e – commerce ฟรี และเป็นที่ชื่นชอบโดยส่วนใหญ่ของผู้ที่มีธุรกิจออนไลน์และสามารถทำงานร่วมกับระบบมากที่สุด แต่จุดสำคัญอยู่ใน nopCommerce เป็นที่ถูกเขียนใน Asp.Net คุณลักษณะด้านความปลอดภัยของเว็บไซต์ที่เพิ่มขึ้น คุณสมบัติหลักที่มีความสำคัญมากก็คือระบบอัตราแลกเปลี่ยนจะขึ้นอยู่กับราคาเรียลไทม์ นี้ได้มีส่วนช่วยอย่างมากที่ผู้ซื้อทั่วโลกที่ร้านค้าได้อย่างอิสระโดยไม่คำนึงถึงสถานที่ตั้งปัจจุบัน
อ่านแล้วก็อย่าเพิ่ง งง กันไปก่อนน่ะค่ะ เพราะว่า Khonoffice ก็แปลมาจากบทความภาษาอังกฤษอีกที (เหมือนเก่งภาษามากแฮะ...) ใครมีอะไรดี ๆ ก็มาแนะนำให้บ้างน่ะค่ะv

มาดูกันว่าหน้าตา Windows 8 จะเป็นอย่างไร




หลังจากไมโครซอฟท์ประกาศเปิดตัว Windows 8 เวอร์ชันสำหรับนักพัฒนาไปแล้วในงาน "Build Windows" เมื่อประมาณกันยายน 2554 ล่าสุดทางไมโครซอฟท์ก็พร้อมเปิดให้บรรดาผู้พัฒนาซอฟท์แวร์และผู้สนใจได้ดาวน์โหลด Windows 8 เวอร์ชัน Developer Preview ไปทดลองใช้งานแบบฟรีๆ ผ่านหน้าเว็บ msdn.microsoft.com พร้อมชูจุดเด่นในเรื่อง UI ที่ทางไมโครซอฟท์พัฒนาขึ้นเองในชื่อ "Metro" (แบบเดียวกับ Windows Phone 7) และการรองรับระบบมัลติทัชเพื่อแท็บเล็ตอย่างเต็มรูปแบบ

ซึ่งในวันนี้ทีมงานผู้จัดการไซเบอร์จะมาทำการทดสอบประสิทธิภาพและเจาะลึกรายละเอียดของ Windows 8 Developer Preview แบบถึงพริกถึงขิง 2 ตอนเต็มๆ ด้วยกัน แต่ทั้งนี้ก่อนจะเข้าสู่เนื้อหาหลัก (ตอนที่ 1 ประสิทธิภาพโดยรวม) ทางทีมงานจะขอสรุป Keynote รายละเอียดสำคัญของ Windows 8 กันอีกครั้ง

รายละเอียดคร่าวๆ ของ Windows 8 จากงาน "Build Windows"

- Windows 8 จะสามารถใช้แอปพลิเคชันที่รองรับ Windows 7 ได้ทุกตัว
- Windows 8 จะมีมุมมอง 2 รูปแบบคือ Metro Style และ Desktop View
- Windows 8 สามารถใช้งานบนแท็บเล็ตที่ใช้ชิป ARM / PC / Netbook / Notebook ที่มาพร้อมหน้าจอสัมผัสหรือใชัผ่านเมาส์และคีย์บอร์ดแบบเก่าได้
- Windows 8 สามารถทำงานบน Intel ATOM รุ่นแรกที่มีแรม 1GB ได้อย่างราบลื่น
- Windows 8 รองรับฮาร์ดไดร์ฟที่ความจุสูงสุด 256TB
- Windows 8 มีระบบ Multi tasking ที่ปรับปรุงให้ดีขึ้นและจัดสรรหน่วยความจำได้ดีขึ้น
- Windows 8 จะมีไดร์วเวอร์ในตัวที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ผู้ใช้สามารถนำอุปกรณ์ภายนอกมาใช้งานแบบ Plug and Play ได้ทันที
- Windows 8 ตัวเต็ม (2012) จะมาพร้อม "Windows Store" และ "Live"
**Windows 8 รองรับภาษาไทยเต็มรูปแบบตั้งแต่ตัว Developer Preview เป็นต้นไป**

สเปกขั้นต่ำสำหรับใช้งาน Windows 8 Developer Preview

1 gigahertz (GHz) or faster 32-bit (x86) or 64-bit (x64) processor
1 gigabyte (GB) RAM (32-bit) or 2 GB RAM (64-bit)
16 GB available hard disk space (32-bit) or 20 GB (64-bit)
DirectX 9 graphics device with WDDM 1.0 or higher driver
Taking advantage of touch input requires a screen that supports multi-touch

เริ่มติดตั้ง Windows 8 Developer Preview


มาที่ส่วนแรก สำหรับการติดตั้ง Windows 8 Developer Preview ยังคงคล้ายกับ Windows 7 ก่อนหน้า ซึ่งการติดตั้งสามารถทำได้ง่ายเพียงไม่กี่คลิกจากนั้นก็รอจนระบบติดตั้งเสร็จเรียบร้อย ก็จะเข้าสู่หน้าการตั้งค่าพื้นฐานต่างๆ ที่อาจมีความแตกต่างจาก Windows 7 เล็กน้อย

กล่าวคือในส่วนของการตั้งค่าพื้นฐานนับตั้งแต่ Personalize ถ้าสังเกตจะพบว่าใน Windows 8 Developer Preview ทางระบบจะบังคับในเราต้องสร้างบัญชีผู้ใช้ที่ประกอบด้วย Username กับ Password (สามารถใช้บัญชี Windows Live ล็อกอินได้โดยที่ไม่ต้องสมัครบัญชีใหม่) คล้ายกับ Google Account บนแอนดรอยด์โฟนหรือแท็บเล็ต โดยที่ผู้ใช้ไม่สามารถข้ามขั้นตอนดังกล่าวได้เหมือนกับ Windows รุ่นก่อนหน้า ซึ่งตรงจุดนี้คาดว่าการที่ระบบบังคับในเราต้องมีบัญชีของไมโครซอฟท์เองก็เพื่อจะได้ใช้ร่วมกับ Windows Store หรือบริการ Cloud Service อื่นๆ ของไมโครซอฟท์เมื่อ Windows 8 ตัวเต็มออกวางจำหน่าย

Metro UI & Desktop UI



Metro UI




Desktop UI


หลังจากการตั้งค่าพื้นฐานและบัญชีผู้ใช้ต่างๆ เสร็จสิ้นแล้ว ระบบจะเข้าสู่หน้า Metro UI พร้อมอนิเมชันสวยงามสไตล์ Windows Phone ที่ผู้ใช้ Windows หลายท่านอาจไม่คุ้นเคยนัก

โดยในหน้า Metro UI ทางไมโครซอฟท์ได้ใส่แอปพลิเคชันตัวใหม่หลากหลายตัวมาให้ผู้ใช้ได้ทดลองใช้งานกันแบบเต็มๆ โดยการทำงานของ Metro UI หลักๆ แล้วจะมาทำหน้าที่แทนการกดปุ่ม Start ของวินโดว์รุ่นก่อนหน้า ที่จากเดิมจะเป็นแค่รายชื่อซอฟท์แวร์ให้เราเลือกใช้ แต่ใน Metro UI แอปฯ หรือซอฟท์แวร์ที่รองรับกับ Windows 8 จะสามารถแสดงผลแบบ Realtime ได้ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราเรียกใช้งานแอปฯ บอกสภาพอากาศครั้งแรกและตั้งค่าเมืองที่เราอาศัยอยู่เรียบร้อยแล้ว จากนั้นเมื่อเรากดปุ่มออกจากแอปฯ ดังกล่าว ไอคอนแอปฯ บอกสภาพอากาศจะถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นรายการข้อมูลสภาพอากาศแบบ Realtime (ต้องเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต) โดยไอคอนแอปฯ บอกสภาพอากาศจะมีการอัปเดตและเปลี่ยนข้อมูลให้ผู้ใช้เห็น เปรียบเหมือนกับ Widget อัปเดตสภาพอากาศในหน้าโฮมของแอนดรอยด์โฟนหรือแท็บเล็ต

นอกจากนั้นการใช้งานแอปฯ บน Metro UI ใน Windows 8 Developer Preview ยังสามารถทำ Multitasking ได้ เพียงแค่ผู้ใช้เปิดแอปฯ ขึ้นมาหนึ่งแอปฯ และเมื่อผู้ใช้ต้องการเปลี่ยนไปใช้แอปฯ อื่น ก็เพียงกดปุ่ม Windows ที่คียบอร์ดหนึ่งครั้ง หรือนำพอยเตอร์เมาส์ไปชี้ที่ด้านซ้ายของจอและกดเมาส์ซ้ายหนึ่งครั้ง ระบบจะทำการสวิตซ์แอปฯ โดยที่แอปฯ ตัวที่ถูกเปลี่ยนยังคงทำงานเป็น Background อยู่

อีกทั้งใน Metro UI ยังสามารถจัดกลุ่มแอปฯ ใหม่ หรือใส่ซอฟท์แวร์จาก Windows 7 ลงไปได้ และการเข้าสู่ส่วนของแถบตั้งค่าแอปฯ ใน Metro UI ส่วนใหญ่จะใช้การคลิกเมาส์ขวาหนึ่งครั้งเป็นหลัก ส่วนการเลื่อนหน้า (แนวขวาง) ก็เพียงเลื่อนสกอร์เมาส์ขึ้น-ลงเท่านั้น



ใน Metro UI ผู้ใช้สามารถจัดหน้าต่าง กลุ่มของแอปฯ หรือเรียกแถบการตั้งค่าขึ้นมาได้โดยการคลิกเมาส์ขวา




หน้าตา Control Panel แบบใหม่บน Metro UI จะครอบคลุมการใช้งานบนแท็บเล็ตได้อย่างดีเยี่ยม


**สำหรับบทที่ 1 นี้ทางทีมงานจะยังไม่ขอลงรายละเอียดของแอปฯ แต่ละตัว ซึ่งทางทีมงานลงรายละเอียดของแอปฯ ต่างๆ ใน Metro UI ในบทต่อไป**

แต่ทั้งนี้ใช่ว่าใน Windows 8 จะมีเพียง Metro UI มาให้อย่างเดียว เพราะทางไมโครซอฟท์ได้ใส่หน้า Desktop UI แบบดั้งเดิมมาให้ด้วย โดยในเวอร์ชัน Developer Preview จะเห็นว่า Desktop UI ไม่มีส่วนที่แตกต่างจาก UI เดิมใน Windows 7 แต่จะมีการปรับเปลี่ยนก็เพียงแค่ปุ่ม Start และความสามารถบางอย่างที่เพิ่มเข้ามาเท่านั้น

Desktop UI กับการเปลี่ยนแปลง

Start แบบใหม่



เป็นส่วนที่ทำให้ผู้ใช้ Windows 8 ต้องปรับตัวมากที่สุดเพราะการกด Start ใน Windows 8 จะเด้งเข้าสู่หน้า Metro UI ทันที โดยสำหรับรายละเอียดแถบ Start แบบใหม่ จะประกอบด้วยส่วนของ Search ไว้สำหรับค้นหาแอปฯ ข้อความ ไฟล์เอกสารที่อยู่ในเครื่องของเราหรือผ่านเว็บไซต์ ถัดมาในส่วนของ Share สำหรับไว้ใช้แบ่งปันแอปฯ แนะนำแอปฯ หรือข้อความไปยังเครือข่ายสังคมหรือแบ่งปันให้ User อื่นในระบบ ต่อมาที่ Device จะเป็นการดูอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่เราเชื่อมต่ออยู่ในปัจจุบัน และสุดท้าย Settings เมื่อกดลงไปแล้วจะมีหน้าตาเหมือนรูปประกอบด้านล่าง


โดยในส่วนของ Settings จากรูปร่างหน้าตา จะเห็นว่าไมโครซอฟท์พยายามออกแบบมาให้สามารถใช้งานร่วมกับแท็บเล็ตหน้าจอสัมผัสได้ดี โดยสังเกตเห็นว่าไอคอนที่ปรากฏบนหน้า Settings ก็มีบรรจุอยู่ที่หน้า Desktop UI อยู่แล้ว แต่สำหรับหน้า Settings ไอคอนเหล่านั้นจะถูกขยายขนาดให้ใหญ่ขึ้น ซึ่งถ้าใครใช้หน้าจอสัมผัสก็จะกดใช้งานได้ง่ายขึ้นมาก

ผนวก Metro UI ร่วมกับ Desktop UI ได้



สำหรับคนที่จำเป็นต้องพิมพ์งานหรือใช้งานโปรแกรมบนหน้า Desktop UI แล้วอยากจะใช้แอปฯ จาก Metro UI ให้แสดงในหน้าเดียวกัน ก็สามารถทำได้ ด้วยเทคนิคแบ่งหน้าจอ โดยวิธีการคือ ให้เปิดหน้า Desktop UI กับแอปฯ ที่ต้องการจาก Metro UI ขึ้นมา จากนั้นนำพอยเตอร์เมาส์ไปชี้ที่ขอบจอ จะมีหน้าต่างขนาดเล็กของแอปฯ จาก Metro UI ปรากฏขึ้น จากนั้นให้ผู้ใช้กดเมาส์ซ้ายข้างไว้และลากหน้าต่างแอปฯ ดังกล่าวไปยังตำแหน่งที่ต้องการ ดังตัวอย่างในรูปประกอบด้านบนก็เป็นอันเสร็จสิ้น

Windows Explorer รูปแบบใหม่เพื่อแท็บเล็ต




Windows Explorer รูปแบบเก่าใน Windows 7


Windows Explorer รูปแบบใหม่ใน Windows 8 Developer Preview


หาบทความดี ๆ มาเผยแพร่ให้ได้ศึกษากัน windows 8 สวยใส ว่องไวกว่าเดิม
ที่มาจาก: http://board.postjung.com/572248.htmlv

Sandbox คืออะไร

          ได้ไปอ่านบทความนี้มาจากเว็บไซต์รับทำเว็บแห่งหนึ่ง เป็นเว็บที่มีชื่อเสียง และมีบทความดี ๆ มาให้อัพเดทเสมอ เลยนำมาให้เพื่อน khonoffice ได้ทราบกันอย่างทั่วถึง โดยมีเนื้อหาบทความดังข้างล่างนี้ค่ะ

          Sandbox เคยได้ยินคำนี้กันบ้างไหมค่ะ คำนี้สำคัญมากเลยนะคะ สำหรับท่านที่มีเว็บไซต์ และสำคัญมากๆ สำหรับท่านสนใจทำ SEO หรือท่านที่มุ่งเน้นให้เว็บไซต์มีอันดับที่ดีใน Search Engine วันนี้ทีมงานมีรายละเอียดแบบคร่าวๆ มาแนะนำให้ทุกท่านได้รู้จัก Sandbox กันค่ะ

Sandbox คืออะไร
          Sandbox มาจากคำว่า Sandbox  Effect หรือเรียกแบบไทยๆ ว่า หลุมทราย เป็นตัวกรองเว็บไซต์ที่ทาง Google ได้พัฒนาขึ้น เนื่องจากเว็บไซต์ที่จัดทำขึ้นมาทั้งหลาย  มักจะมุ่งหวังและเน้นในการทำอันดับให้ติด Search Engine อย่างเช่น Google และมักใช้กลวิธีต่างๆ ที่จะทำให้ติดอันดับได้เร็วๆ จึงละเลยคุณภาพของเว็บไซต์ไป ดังนั้นทาง Google จึงได้ทำ Sandbox  Effect ขึ้นมา เพื่อดักจับเว็บไซต์ที่เกิดใหม่ทั้งหลาย เก็บไว้ในหลุมทรายให้เว็บเหล่านี้ ทำเว็บไซต์อย่างค่อยเป็นค่อยไป อย่างมีคุณภาพ

จะติด Sandbox  Effect และออกจาก Sandbox  Effect เมื่อไร........
           เว็บไซต์ทุกเว็บที่มีการ Online เนื้อหาแล้ว ไม่รวมการจดโดเมนเนมล่วงหน้า ที่จดไว้เฉยๆ ยังไม่มีการทำอะไร พูดง่ายๆ ว่าหากในเว็บไซต์มีการใส่เนื้อหา ถึงแม้จะน้อยนิดแต่ก็มีการ Online เว็บแล้ว จะมี Googlebot เข้ามาพบเว็บไซต์ของเราครั้งแรก เมื่อนั้นเว็บไซต์เราก็จะเข้าไปติด Sandbox Effect

          การออกจาก Sandbox  Effect ต่อเมื่อเว็บไซต์เรามีคุณภาพ มีความน่าเชื่อถือมากพอ ใช้เวลาประมาณอย่างน้อย 6 เดือน เว้นแต่เว็บไซต์ที่ได้รับความน่าเชื่อถือมากๆ และมีเว็บที่มีความน่าเชื่อถือลิงค์มาหาเป็นจำนวนมากพอสมควร เว็บนั้นอาจจะใช้เวลาน้อยกว่า 6 เดือน ก็ออกจาก Sandbox Effect

          เมื่อออกจาก Sandbox  Effect เว็บไซต์ของเราก็จะมี Page Rank หรือเรียกย่อๆ ว่า PR เริ่มจาก 0,1,2... ไปเรื่อยๆ ยิ่งมี Pr สูงเท่าไหร่ หมายความว่า เว็บไซต์ของคุณเป็นเว็บที่มีคุณภาพ มีความน่าเชื่อถือมาก ย่อมทำให้ตามมาถึงโอกาสที่จะติดอันดับดีๆ ใน Google สูงขึ้นอีกด้วย เช่น Facebook.com มี PR 10 , sanook.com มี PR 7 เป็นต้น เราสามารถเช็ค PR ได้โดยการใช้ Google Toolbar

จะทราบได้อย่างไรว่าหลุดจาก Sandbox  Effect
          ให้ค้นหาใน Search Engine พิมว่า site:www.domainname.com หากมีการค้นพบเจอเว็บไซต์ของเรานั้นแหละค่ะ แสดงว่าเว็บไซต์เราหลุดออกมาจาก Sandbox  Effect แล้ว

          หลังจากนี้เราควรพัฒนาเว็บไซต์ของเราให้มีคุณภาพ เนื้อหา บทความ ข่าวสาร มีการอัพเดทเนื้อหาอยู่เสมอ การหลุดจาก Sandbox  Effect แล้วจะไม่เข้าไปติด Sandbox  Effect อีก แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะสามารถทำอะไรๆ ก็ได้ เราไม่ควรสแปมคำคีย์เวิร์ด หรือเพิ่ม Back Link มากจนเกินไป เพราะจะทำให้ถูก De-index ซึ่งก็คือ การที่ Google ไม่แสดงผลเว็บไซต์บางหน้าของเราบน Google เช่น ปกติเราเช็ค site:www.domainname.com ที่กลูเกิล พบว่าเว็บไซต์เราถูก Index ไว้ 10 หน้ากลูเกิล แต่วันนึงมาเช็คใหม่กลับพบเพียง 5 หน้ากลูเกิล แบบนี่ละค่ะเราถูก De-index หรือหากร้ายแรงมากเราอาจจะโดนลบออกจากฐานข้อมูล Search Engine ไปเลย ที่นี้ค้นข้อมูลอย่างไรก็ไม่เจอเว็บไซต์เราอีก


           อ่านแล้วก็ทำให้เข้าใจได้ว่า เว็บไซต์ที่เกิดขึ้นใหม่ ทั้งหลายเหล่ จะถูกเจ้า Google มาทำการตรวจรายละเอียดเนื้อหา แล้วเอาไปเก็บเข้าคลังเอาไว้ จากนั้น ถ้าเว็บไซต์เรามีการพัฒนา เนื้อหามีคุณภาพ ฯลฯ เป็นต้น เว็บไซต์เราก็จะมี PR เมื่อมีการ Search จาก Google แล้วจะเจออยู่ลำดับต้น ๆ ของหน้าเพจ Google 

          ยังไงก็ลองดูกันน่ะค่ะ ลองผิดลองถูก จะได้มีประสบการณ์ เพราะ admin ก็จะลองด้วยอีกคนนึงค่ะ  ^&^

Jailbreak Ipad Iphone กัน.......

หลังจากรอกันมา 1 วันกว่า ๆ Absinthe for Windows ก็ได้ออกมาเรียบร้อยแล้ว เครื่องมือเจลเบรคที่ใช้ corona exploit ของ @pod2g ในการเจลเบรคแบบสมบูรณ์ (untethered jailbreak) สามารถปิด / เปิดเครื่อง ได้เอง โดยไม่ต้องใช้โปรแกรมช่วย เรามาดูวิธีการเจลเบรคกันเลยดีกว่า (อ่านที่นี่ สำหรับวิธีการเจลเบรค Absinthe ด้วย Mac OSX)

Absinthe สนับสนุนอุปกรณ์ดังนี้
สำหรับ iPhone 4, iPad 1, iPod Touch (A4 processor) ที่ใช้ iOS 5.0.1 ให้ใช้ Corona หรือ Redsn0w , PwnageTool หรือ Sn0wbreeze ในการเจลเบรคแบบสมบูรณ์
เครื่องมือเจลเบรค ที่จะออกมานี้ สนับสนุน เฟิร์มแวร์รุ่นดังต่อไปนี้
ดาวน์โหลดไฟล์ที่จำเป็น
วิธีการเจลเบรค iPhone 4S และ iPad 2 ที่ใช้ iOS 5.0 – 5.0.1 ด้วย Absinthe for Windows
หมายเหตุ : โปรด backup ข้อมูลของท่านไว้ก่อน ที่จะทำการเจลเบรค และ สำหรับเครื่องติดล็อคซิม อย่าลืมคงค่า baseband เดิมก่อนทำการเจลเบรค

1. ดาวน์โหลดโปรแกรม Absinthe ทำการ unzip ไฟล์ออกมา แล้วคลิกขวา เลือก Run as administrator (สำหรับ Windows 7)
    absinthe-win-jailbreak-ipad2-02
    2. เสียบ iPhone 4S / iPad 2 เข้ากับคอมพิวเตอร์

    3. เมื่อ Absinthe ตรวจพบ iPhone 4S / iPad 2 ของเราแล้ว ปุ่ม jailbreak จะสามารถกดได้ ให้กดที่ปุ่ม "jailbreak" ที่ iPhone / iPad จะมีขึ้นข้อความ Restore เป็นเรื่องปกติ
    absinthe-win-jailbreak-ipad2-03
    กดปุ่ม Jailbreak
    absinthe-win-jailbreak-ipad2-04
    จะมีการ Restore ขึ้นที่ iPhone , iPad ไม่ต้องทำอะไร
    absinthe-win-jailbreak-ipad2-05
    จะมีการ reboot iPhone , iPad เอง ก็ปล่อยไว้ให้ Absinthe ทำงาน
    absinthe-win-jailbreak-ipad2-06
    absinthe-win-jailbreak-ipad2-07
    ไม่ต้องทำอะไรทั้งนัน้ รออย่างเดียว
    4. ให้รอจนกว่า Absinthe ทำงานเสร็จ ซึ่งใช้เวลาสักพัก แล้วไปที่ตัวเครื่อง iPhone / iPad ที่หน้าจอ Home Screen ให้มองหา Absinthe icon ดังรูป แล้วแตะที่ไอคอน หัวกระโหลก ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายของการเจลเบรค

    absinthe-win-jailbreak-ipad2-08
    ขั้นตอนนี้อาจจะนานหน่อย อยู่ที่ความแรงของเครื่องคอม และจำนวนข้อมูลใน iPhone , iPad ยิ่งเยอะยิ่งนาน ดังนั้น ถ้า Restore เป็นเครื่องเปล่า จะทำได้ง่ายสุด เร็วสุด ปัญหาน้อยสุด
    absinthe-win-jailbreak-ipad2-09
    มาถึงหน้าจอนี้ จบส่วนของโปรแกรม Absinthe แล้ว ให้ไปที่ iPhone , iPad ของเรา
    IMG_0001
    ถึงขึ้นตอนนี้ จำเป็นต้อง ต่อเน็ต Wi-Fi หรือ EDGE/3G ให้ต่อเน็ตให้เรียบร้อยแล้ว กดที่ Absinthe icon (รูปหัวกระโหลกตามภาพ)
    5. เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น ที่อุปกรณ์ ไอโฟน หรือ ไอแพด ของเราจะ รีสตาร์ท ตัวมันเอง เมื่อกลับมาจะเห็นว่ามี Cydia icon โผล่มาที่หน้า Home Screen แล้ว

    absinthe-win-jailbreak-ipad2-01
    ที่มาจาก:http://www.iphoneapptube.com/2012/01/untethered-jailbreak-ios-501-absinthe.htmlhttp://www.iphoneapptube.com/2012/01/untethered-jailbreak-ios-501-absinthe.html
    สอนได้ละเอียดมากเลย สามารถทำได้เอง สำหรับ สาวก Apple ที่อยากนอกใจไปโหลด App จากที่อื่นมาเล่นได้บ้าง ก็ลองทำการ Jailbreak ดูน้า อ่อ ที่สำคัญ อย่างลืม!! Backup ข้อมูลไว้ด้วยล่ะ

ภาษีนำเข้า

คำนวณภาษีนำเข้า
พ่อค้าแม่ขายทั้งหลายแหล่ สงสัยและมีข้อสอบถามมายัง khonoffice ว่าหากต้องการนำเข้าสินค้ามาขายจะต้องทำอย่างไรบ้าง จริง ๆ แล้วมีบริษัทที่ให้บริการแบบครบวงจรโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลยด้วยซ้ำ แค่จ่ายเงินเพียงอย่างเดียว แต่ไม่ขอกล่าวถึงบริษัทนั้นแล้วกันน่ะค่ะ เดี๋ยวเขาจะงานเยอะ - _ - แต่สิ่งที่เราควรรู้ คือ อัตราภาษีนำเข้า ค่าใช้จ่ายด้านภาษีต่าง ๆ เพราะ มีผลต่อราคาสินค้าที่เรานำมาขาย ต้องคำนวณต้นทุนให้ดี ไม่เช่นนั้น อาจเป็นลมได้
มาทำความรู้จักกัน CIF คืออะไร
C คือ Cost of goods sold คือราคาของสินค้า ณ ราคาส่งมอบถึงท่าเรือI คือ Insurance = ค่าประกันภัยที่อาจเกิดจากการขนส่งทางทะเล F คือ Freight = ค่าขนส่งสินค้า จากท่าเรือต้นทางถึงท่าเรือปลายทางในต่างประเทศ
วิธีคำนวณ
C คือ ราคาสินค้าI คือ ค่าประกันโดยคิด 1% ของราคาสินค้าF คือ ค่าขนส่ง ซึ่งจะคิดจากน้ำหนักสินค้า
ตัวอย่างเช่น
Product Dimension : 17 X 7 X 44 inch น้ำหนัก 10 กก.
ซึ่งน้ำหนักจริง จะได้เป็น 10 กก. ก็จริง แต่ Shipping weight จะดูน้ำหนักสินค้าเมื่อแพคลงกล่อง แล้วนำมาเทียบกับ Dimension หากอันไหนมีค่าเยอะกว่าก็จะเลือกน้ำหนักนั้น แต่ส่วนใหญ่จะเลือก Shipping weight ทั้งนั้น
ดังนั้นเมื่อ ขนาดน้ำหนักจริง 10 กก.
ขนาดน้ำหนัก คำนวณจาก Dimension 17 X 7 X 44 /305 kg = 17.16เพราะฉะนั้นเราจะได้ค่า Shipping weight = 17 kg
จากนั้นนำมาคำนวณภาษีนำเข้าC=ราคาสินค้า + I=ค่าประกันสินค้า (คิด 1% จากราคาสินค้า) + F=ค่าขนส่งสินค้ารายละเอียดคือ C:ราคาสินค้า (3200 บาท) I:ค่าประกัน1%จากราคาสินค้า (32 บาท) F:ค่าขนส่ง (350 บาท)C:3200+I:32+F:17X350 =9182 บาท
CIF จะเป็นฐานในการคิดภาษีเท่านั้น เราต้องนำค่า CIF ไปคิดภาษีนำเข้า ตามชนิดสินค้า ซึ่งสามารถเช็คพิกัดสินค้าได้จากลิงค์ด้านล่างค่ะ

เมื่อเช็คอัตราภาษีแล้ว สมมุติว่า ได้อัตราภาษีนำเข้า คือ 10%ก็จะคำนวณภาษีนำเข้าได้ดังนี้ CIF X 10%
9182 X 10% = 918 บาท
คำนวณ VAT 7% 9182 X 7% = 643 บาทรวมภาษีที่ต้องจ่าย 1561 บาท

App iPad และ iPhon มีมาแนะนำให้เพื่อนๆค่ะ

iPad และ iPhon มีแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ นานามากมาย ตามแต่ที่เจ้าของไอโฟนจะเลือกนำมาใช้กัน บางคนก็หนักไปทางแอพฯ ที่เกี่ยวกับเกม บางคนก็เน้นการถ่ายรูป ฟังเพลง จึงได้รวบรวมเอา 50 แอพพลิเคชั่นไอโฟนแจ่ม ๆ ของปี 2011 ที่มีการหาโหลดลงไอโฟนกันมาโดยตลอดทั้งปี มา ให้คุณ ๆ ได้ทราบกันว่า ในตลอดเกือบ 12 เดือนที่ผ่านมานี้ มีแอพฯ ใดบ้างที่เป็นที่นิยมของคนทั่วโลก และมีความน่าสนใจอย่างไร ถึงได้มีการหาโหลดกันมากมายขนาดนั้น งั้นไปดูกันเลยดีกว่าว่า ทั้ง 50 แอพพลิเคชั่นนั้น จะมีอะไรกันบ้าง..

แอพพลิเคชั่นประเภทเกม (Games)

Angry Birds: จัดเป็นเกมที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง เนื่องจากมีขั้นตอนการเล่นที่ง่ายแสนง่าย เพียงแค่แตะ ลาก และปล่อย เท่านั้นเอง แม้แต่เด็กอายุ 2 ขวบก็เล่นได้เช่นเดียวกัน แถมด้วยสีสันของตัวละคร เพลงประกอบที่มีทำนองยียวน กวนอารมณ์ เลยทำให้ตั้งแต่ที่เปิดตัวเมื่อปี 2009 มีผู้ดาวน์โหลดไปแล้วโลกกว่า 250 ล้านคน ทำให้เกม Angry Birds กลายเป็นที่รู้จักและนิยมไปทั่วโลกเลยทีเดียว

Scrabble: เกมต่อศัพท์อักษรไขว้ภาษาอังกฤษนี้ นอกจากจะเป็นการฝึกสมองประลองปัญญาของตัวผู้เล่นเองแล้ว ผู้เล่นยังสามารถให้คนอื่น ๆ มาร่วมแข่งด้วยได้ง่าย ๆ เพียงแค่เชื่อมต่อตัวเกมผ่านเฟซบุ๊กเท่านั้นเอง

Plants v. Zombies: เกมยิงซอมบี้แห่งปีที่ดูเหมือนจะไม่มีความน่าสนใจอะไรมากมาย แต่เมื่อได้ลองเล่นเพียงแค่ครั้งเดียวแล้ว กลับต้องมานั่งเล่นยาวนานหลาย ๆ ชั่วโมง เพราะเกิดอาการติดในความสนุกสนานของการเก็บเลเวล เพื่อให้ได้ดอกทานตะวันและอุปกรณ์ใหม่ ๆ เพื่อมาใช้ยิงเจ้าซอมบี้ทั้งหลาย

Doodle Jump: อีกหนึ่งเกมที่เล่นสนุกได้เพลิน ๆ กับการเก็บกล่องของขวัญ ยิงตัวประหลาด หลบหลุมดำ และอื่น ๆ อีกมากมาย เพื่อเก็บคะแนนสะสมให้ได้เยอะที่สุด จนกว่าจะโดนกับดักทั้งหลายเล่นงานจนพลาดท่าเสียก่อน

Fruit Ninja: นี่ก็มันไม่แพ้กันกับการหั่นผลไม้ให้ออกเป็นชิ้น ๆ มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าทำได้ติด ๆ กันเยอะ ๆ ก็จะมีคะแนนพิเศษเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ต้องระวังอย่าไปหั่นโดนขวดยาพิษที่ลอยปะปนมากับผลไม้เข้าล่ะ ไม่งั้นเกมโอเวอร์ทันที

Cut the Rope: แม้ตัวละครและเสียงเพลงของเกมจะดูน่ารักใส ๆ แต่พอเล่นจริง ๆ แล้ว กลับต้องใช้สมาธิและการคาดคะเนอยู่พอสมควรเลยทีเดียว เพราะผู้เล่นจะต้องตัดเชือกและกะน้ำหนักให้ลูกกวาดสามารถลอยไปแตะกับดาวที่ กระจายตัวอยู่ให้ครบ ถึงจะผ่านในแต่ละด่านไปได้

Pictureka: ฝึกความว่องไวของสายตาและนิ้วกันอีกสักนิด เพราะเกมนี้ผู้เล่นจะต้อง ตามหาสิ่งของต่าง ๆ ตามที่เกมกำหนดไว้ให้ หรือหากจะพูดง่าย ๆ ก็เหมือนเกมจับผิดที่ต้องแยกสิ่งของที่กำหนดมาออกจากของหลาย ๆ อย่างที่อยู่ปนกันมากมายเต็มไปหมด หาได้ครบ หาได้ทันเวลาก็ได้แต้มไป

Wurdle: เกมหาคำศัพท์อักษรไขว้นี้ทำเอาหลาย ๆ คนถึงกับต้องมานั่งเล่นกันแบบจริง ๆ จัง ๆ เลยทีเดียว เพราะบางทีเมื่อเล่นไปนาน ๆ มาก ๆ เข้า ก็เกิดอาการตาลาย หาคำศัพท์ไม่เจอ แถมยังมีเวลามาเป็นตัวบังคับอีก ความน่าเล่นของเกมนี้ เลยมีเพิ่มขึ้นมาก ๆ เลยทีเดียว

GeoDefense Swarm: แม้รูปแบบเกมจะดูธรรมดา ๆ ไม่แปลกแหวกแนวเท่าไหร่นัก แต่เอาเข้าจริง ๆ แล้ว นี่คือเกมแนววางแผนที่สนุก และต้องใช้ความคิดอยู่มากใช่เล่นเลยทีเดียว เพราะหากวางแผนไม่ดี ก็มีสิทธิ์เกมโอเวอร์ไปได้ง่าย ๆ เหมือนกัน
แอพพลิเคชั่นประเภทตัวช่วยต่าง ๆ (On the Go)
Kayak: ถ้าคุณต้องเดินทางไปต่างประเทศ แล้วมีปัญหาไม่รู้ว่าจะไปพักที่ไหน หรือต้องไปสายการบินไหนดี แอพพลิเคชั่นนี้จะเป็นตัวช่วยให้คุณในการบอกถึงข้อมูลต่าง ๆ ที่คุณอยากทราบ ทั้งเรื่องของที่พักและการจองตั๋วเครื่องบิน

Yelp: ไปอยู่เมืองนอกเมืองนา เกิดอาการหิวข้าวหรืออยากหาผับเล็ก ๆ นั่งชิล ๆ สบายอารมณ์ แต่ไม่รู้จะไปที่ไหน ก็ขอให้เปิดแอพฯ นี้ขึ้นมา แล้วใส่ชื่อสถานที่ที่คุณอยู่ ณ ตอนนั้นลงไป เพียงเท่านี้ แอพฯ จะคัดสรรรายชื่อร้านอาหารและผับต่าง ๆ มาให้ แถมยังบอกทั้งเวลาเปิด - ปิดของร้านให้อีกด้วย

Word Lens: ใครมีปัญหาด้านภาษา แปลไม่ออก อ่านไม่รู้เรื่อง ใช้แอพฯ นี้แล้วรับรองไม่มีปัญหาแน่ ๆ เพราะเพียงแค่คุณเปิดแอพพลิเคชั่นนี้ แล้วยืนไปที่ป้ายหรือข้อความที่คุณอ่านไม่ออก แอพฯ จะทำการแปลภาษาให้คุณเป็นภาษาอังกฤษทันที (เจ๋งอ่ะ!)

Weather Channel: วันนี้ฝนจะตกมั้ย อากาศจะร้อนหรือเปล่า ต้องเตรียมอะไรอย่างไรบ้าง แอพพลิเคชั่นนี้ช่วยคุณได้ เพราะจะมีข้อมูลเกี่ยวกับสภาพอากาศ ทั้งเรื่องของอุณหภูมิ ความเร็วลม ค่าความชื้นและอื่น ๆ ของสถานที่ทั่วโลกที่คุณอยากรู้

OpenTable: หากคุณอยู่ที่สหรัฐอเมริกา แคนาดา และประเทศอังกฤษ แล้วอยากจะจองร้านอาหารดี ๆ ไว้สำหรับดินเนอร์มื้อพิเศษแล้วล่ะก็ คุณสามารถเซิร์จหาและทำการจองโต๊ะได้ทันที ด้วยวิธีการง่าย ๆ เพียงแค่กรอกข้อที่จำเป็นต่อการจองโต๊ะลงไปแค่นั้น

Wikipedia: ข้อมูลและเนื้อหาสาระแบบเน้น ๆ ทั้งเรื่องของตัวบุคคล สถานที่ เหตุการณ์สำคัญ ๆ และอื่น ๆ สารพัด คุณก็สามารถใช้แอพพลิเคชั่นนี้ในการหาข้อมูลที่คุณต้องการได้ โดยไม่จำเป็นต้องไปเปิดคอมพ์หาเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป

Hopstop: ถ้าเกิดหลงทางไม่รู้ว่าต้องไปตามถนนสายไหน หรือต้องไปขึ้นรถตรงจุดใด แอพฯ นี้จะเป็นเหมือนแผนที่บอกทางให้คุณเอง ว่าควรจะเริ่มจากจุดไหน ไปที่ไหนต่อ เพื่อให้ไปถึงจุดหมายปลายทางที่คุณต้องการ

AroundMe: แอพพลิเคชั่นนี้ จะบอกคุณในทุก ๆ อย่างที่อยู่ในละแวกที่คุณอยู่ ณ ตอนนั้น ทั้งธนาคาร ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ปั๊มน้ำมัน โรงพยาบาล โรงแรม ฯลฯ เรียกได้ว่า อยากไปไหนก็เปิดแอพฯ นี้ไว้ เป็นอันรู้เรื่อง!

Google Earth: อีกหนึ่งแอพพลิเคชั่นดี ๆ ที่ช่วยในเรื่องของการระบุสถานที่ และการดูเส้นทางต่าง ๆ ก็หนีไม่พ้น "Google Earth" ขาใหญ่ เจ้าประจำที่สามารถพึ่งพาได้อยู่มากพอสมควรเลยทีเดียว

Zipcar: อยากจะเช่ารถราคาถูก ๆ สักคันไว้ขับเที่ยวเล่น กินลม ชมวิว หรือขับไปทำธุระนู่นนี่ แอพฯ นี้ จะบริการด้านข้อมูลว่าที่ใดบ้านที่มีรถให้เช่า และเหลือให้เช่าอยู่กี่คัน เป็นต้น
แอพพลิเคชั่นประเภทไลฟ์สไตล์ (Lifestyle)
Amazon: อยากจะซื้อของหรือแก็ดเจ็ตดี ๆ ที่มีให้เลือกมากมายแบบนับไม่ถ้วน และบางอย่างอาจจะถูกว่าที่ขายตามร้านด้วยซ้ำไป "Amazon" ก้มีแอพพลิเคชั่นที่ใช้งานง่าย ๆ ไว้รองรับตามความต้องการนี้แล้ว

Epicurious: ถ้าคุณมีส่วนผสมต่าง ๆ ในการทำอาหารอยู่เต็มตู้เย็น แต่นึกไม่ออกบอกไม่ถูกว่าจำทำอาหารอะไรดี เปิดแอพฯ นี้ แล้วกรอกข้อมูลลงไปว่าในตู้เย็นคุณมีอะไรบ้าง แอพฯ จะทำการวิเคราะห์และแนะนำเมนูจากส่วนผสมที่คุณมีอยู่ให้เอง

Mixology: จะจัดปาร์ตี้ค็อกเทลเล็ก ๆ ไว้เลี้ยงเพื่อน แต่ไม่มีความรู้ว่าต้องผสมอะไรกับอะไรบ้าง มากหรือน้อยแค่ไหน "Mixology" จะจัดแงบอกการผสมให้คุณอย่างเสร็จสรรพ อยากได้ค็อกเทลแบบไหน รสชาติแบบใด เดี๋ยว Mixology จัดให้

Paypal: หากคุณไม่มีเวลาไปธนาคารเพื่อชำระเงินค่าโน่น ค่านี่ ก็ไม่ต้องกังวลไป ต่อไปนี้จัดการธุรกรรมทางเงินได้ง่าย ๆ เพียงใช้ "Paypal" เท่านั้น แล้วกรอกข้อมูลที่จำเป็นต่อการทำธุรกรรมทางการเงิน เป็นอันเสร็จสิ้นพิธีการ

Shop Savvy: ถ้าคุณมีของชิ้นหนึ่งที่อยากจะซื้อมากมาย แต่ยังลังเลอยู่ว่าระหว่างซื้อตามร้านกับซื้อทางออนไลน์อันไหนราคาถูกกว่า กัน ก็เปิดแอพฯ นี้มาเปรียบเทียบราคาของสินค้าที่คุณอยากได้เอาไว้เลย

Mint: แอพพลิเคชั่นนี้ เหมาะสำหรับผู้ที่มีธุรกิจเป็นของตัวเองมาก ๆ เพราะ "Mint" จะช่วยคำนวณเรื่องตัวเลข ผลกำไรต่าง ๆ ให้กับกิจการของคุณเองว่า เดือนนี้คุณได้เงินเท่าไหร่ และมีค่าใช้จ่ายเท่าใด บวกลบโน่นนี่ หรือหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แล้ว ร้านคุณจะมีกำไรเท่าไหร่ เป็นต้น

WebMD: หากคุณมีอาการเจ็บปวดทางร่างกาย แต่ไม่รู้ว่าเกิดจากสาเหตุอะไร หรือเป็นมาก ๆ เข้า แต่อธิบายหมอไม่ถูกว่าปวดตรงไหนยังไง ก็สามารถใช้แอพพลิเคชั่นนี้บอกอาการที่เป็นอยู่ให้ได้ทราบเป็นข้อมูลใน เบื้องต้นได้

Lose It!: เดี๋ยวนี้การดูแลสุขภาพร่างกายของตัวเองเป้นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ และเพื่อให้ได้มาซึ่งสุขภาพแบบเฟิร์มสุด ๆ "Lose It!" จะเป็นตัวช่วยให้คุณได้รู้ว่า ในแต่ละมื้อคุณควรจะทานอะไรบ้าง หนักอันไหน เพลา ๆ เมนูอาหารใด ก็จะบอกคุณอย่างถี่ยิบเลยทีเดียวเชียว

Springpad: ถ้าคุณเป็นคนขี้หลงขี้ลืม หรือมีสิ่งต่าง ๆ มากมาย จนแยกไม่ออกแบ่งไม่ถูกว่าควรจะทำอันไหนก่อน "Springpad" จะเป็นเครื่องช่วยเตือนความจำคุณเองว่าต้องทำอะไรก่อน - หลัง อันไหนสำคัญ อันไหนห้ามลืม เดี๋ยว Springpad จัดการให้
แอพพลิเคชั่นประเภทเพลงและการถ่ายภาพ (Music & Photography)
างสะดวกโยธิน หรือจะจะไปแชร์ต่อให้คนอื่น ๆ ก็สามารถทำได้จากแอพฯ นี้ได้เลย

Pandora: ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ใดก็ตาม หากเจอเพลงเด็ด ๆ โดน ๆ และอยากจะเก็บเพลงนั้นลงเครื่องไว้ทันที เพื่อไปฟังหรือแชร์ต่อในที่อื่น ๆ Pandora จะทำหน้าที่ตรงนั้นให้คุณเอง และหากคุณยุ่งวุ่นวาย ไม่มีเวลามาดู คุณก็สามารถเปิดมาดูย้อนหลังได้ทุกเมื่อที่คุณต้องการ

SoundHound: เคยนึกชื่อเพลงหรือศิลปินไม่ออกกันบ้างไหมเอ่ย? ถ้าเคยปัญหานั้นจะหมดไปทันที เพราะ SoundHound จะช่วยจัดการนึกรายชื่อของเพลงหรือศิลปินที่คุณนึกไม่ออกแทนเอง เพียงแค่คุณลองใส่เนื้อเพลงบางท่อนที่นึกได้ลงไปแค่นั้นเอง

Bloom: เคยใช่หรือไม่ที่ฟังบางเพลงแล้วรู้สึกเพลงนั้นให้เสียงที่แปลก ๆ ฟังแล้วไม่เพลินหูสักเท่าไหร่ อยากจะปรับโทนเสียงต่าง ๆ เองซะเหลือเกิน ใช้แอพฯ นี้ จัดการปรับเปลี่ยนเอาได้เลย ทั้งความดังของเสียง จังหวะหนักเบา และอื่น ๆ

Camera+: ใครชอบถ่ายภาพมาทางนี้ Camera+ จะช่วยให้คุณสามารถตกแต่งภาพถ่ายได้อย่างตามใจชอบ แถมยังใช้งานได้ง่าย ๆ อีกด้วย ไม่ว่าจะเพิ่มเติมสีสัน ลบจุดไม่พึงประสงค์ หรือลองเปลี่ยนภาพถ่ายธรรมดา ๆ เป็นภาพถ่ายแนว ๆ ไม่เหมือนใคร ก็ทำได้จากแอพฯ นี้ได้เลย

Photoshop Express: อีกหนึ่งตัวช่วยในการตกแต่งภาพให้ดูมีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น เรียกได้ว่าถูกใจคนที่รักและชื่นชอบการถ่ายภาพมาก ๆ เลยล่ะ

Hipstamatic: ถ้าการถ่ายภาพธรรมดา ๆ เป็นเรื่องของความจำเจเกินไปล่ะก็ ลองเปลี่ยนเลนส์กล้องแบบง่าย ๆ เพื่อให้ได้ภาพในมุมมองที่หลากหลายของ Hipstamatic ดูได้ ไม่แน่การถ่ายภาพของคุณ จะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหนึ่งแน่นอน

Instagram: แอพฯ นี้นี่เด็ดจริง และเป็นที่นิยมจริง ๆ เหล่าดารานักแสดง นักร้องมากมาย ต่างก็ใช้แอพพลิเคชั่นนี้กันทั้งนั้น เพราะถ่ายภาพก็สวย อีดิตก็ง่าย แชร์ภาพผ่านโซเชี่ยลต่าง ๆ ก็ง่ายแสนง่าย ใครล่ะจะไม่ใช้กันบ้าง!

ColorSplash: เพิ่มลูกเล่นให้การถ่ายภาพของคุณ มีความสนุกสนานขึ้นมาอีกสักหน่อย เพราะ ColorSplash จะช่วยเปลี่ยนภาพของคุณให้กลายเป็นสีขาว - ดำ แต่จะทำจุดเด่นในบริเวณที่คุณกำหนดให้เป็นสีสดขึ้นมา เพื่อให้ขัดกับภาพขาว - ดำที่เป็นพื้นหลัง จนกลายเป็นภาพถ่ายอาร์ต ๆ แนว ๆ ไปโดยปริยาย
แอพพลิเคชั่นประเภทให้ความบันเทิง (Entertainment)
Netflix: คุณสามารถสั่งซื้อภาพยนตร์ดี ๆ เจ๋ง ๆ ได้แบบสบาย ๆ โดยเลือกเอาตามใจชอบเลยว่าอยากได้ภาพยนตร์แบบไหน ประเภทอะไร ที่นี่มีให้คุณได้เลือกแล้ว แต่อย่างหนึ่งตรงที่ภาพยนตร์ที่ให้เลือกเป็นภาพยนตร์เก่าเท่านั้นเอง

IMDb: อยากรู้ข้อมูลเกี่ยวกับภาพยนตร์ อาทิเช่น รายชื่อนักแสดง เรื่องย่อ บทสรุป บทวิเคราะห์ภาพยนตร์ หรือแม้แต่ประวัติของนักแสดง คุณก็สามารถหาได้ง่าย ๆ ด้วยแอพพลิเคชั่นนี้

ESPN Scorecenter: งานนี้คอกีฬาห้ามพลาดเลยทีเดียว เพราะไม่ว่าจะมีข่าวอะไรอัพเดต หรือมีผลการแข่งขันอะไรเพิ่มเติมเข้ามา ก็จะมีการนำข้อมูลจาก "ESPN" มาบอกกล่าวให้คุณได้ทราบในทันที

Instapaper: แอพพลิเคชั่นนี้ จะช่วยบันทึกหน้าของแม็กกาซีนหรือหนังสือพิมพ์ที่คุณยังไม่จบไว้ให้ เพื่อให้คุณได้กลับมาอ่านต่อในภายหลัง ซึ่งจะสะดวกและเหมาะกับคนที่รักการอ่าน แต่ไม่มีเวลามากพอนั่นเอง

Kindle: หากคุณอยากอ่านหนังสือดี ๆ สักเล่ม แต่เวลาจะไปหาซื้อตามร้านหนังสือนั้นไม่มี ก็ขอให้แวะไปที่แอพพลิเคชั่น Kindle เพราะแอพฯ นี้จะทำให้คุณสามารถซื้อหนังสือมาอ่านในแบบ "ebook" ได้อย่างรวดเร็ว แถมยังใช้งานได้ง่ายอีกด้วย

PulseNews: ไม่ว่าจะเป็นข่าวสารหรือความเคลื่อนไหวใด ๆ ในแวดวงต่าง ๆ ทั้ง ข่าวทั่วไป เรื่องเด่น ประเด็นร้อน เศรษฐกิจ บันเทิง เทคโนโลยีเจ๋ง ๆ โดน ๆ และอื่น ๆ อีกสารพัด ก็จะอัพเดตให้คุณได้รู้แบบที่ไม่มีทางที่คุณจะพลาดประเด็นสำคัญ ๆ อย่างแน่นอน
แอพพลิเคชั่นประเภทโซเชี่ยลออนไลน์ (Social)
Facebook: คงไม่ต้องอธิบายอะไรให้มากความแล้วสำหรับเฟซบุ๊ก ที่ทุกวันนี้ไม่ว่าจะมองซ้าย หรือแลขวาก็เห็นผู้คนมากมายเล่นเฟซบุ๊กกันทั้งนั้น เอาง่าย ๆ ว่าแค่ในปีที่แล้ว ก็มีคนโหลดแอพฯ นี้ไปแล้วกว่า 150 ล้านคนทั่วโลก ฉะนั้นการันตีได้เลยว่า แอพพลิเคชั่นนี้แจ่มจริง ๆ

Twitter: ดีกรีความแรงไม่แพ้เฟซบุ๊กเช่นกัน เพราะสามารถใช้งานได้ง่าย ๆ เหมือนที่เล่นผ่านพีซีทั่ว ๆ ไป ไม่ว่าจะโพสต์ข้อความใด ๆ หรือจะ "Follow" ทวิตเตอร์ของใคร ก็สามารถทำได้ง่ายมาก ๆ และไม่ยุ่งยากแต่อย่างใด

Google: อธิบายได้อย่างง่าย ๆ เลยว่า ไม่ว่าบนเว็บกูเกิลจะมีอะไรบ้าง ในแอพพลิเคชั่นนี้ก็ยกมาไว้ทั้งหมดด้วยเหมือนกัน ที่สำคัญไปกว่านั้น ยังสามารถสั่งการหรือค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ที่คุณต้องการ ได้อย่างสะดวกมากขึ้น เพียงแค่พูดออกเสียงเท่านั้น

AIM: ถ้าชีวิตนี้คุณขาดการแชตไม่ได้ ก็อย่าไปขาดเลย ทำตามที่ชอบด้วยแอพพลิเคชั่นของ "AIM" นี่แหละ คุยให้เต็มที่ แชตให้กระจาย เพราะโลกของการสื่อสารเป็นของคุณแล้ว!!

Skype: เพื่อให้สมกับที่เป็นยุค "3G" (ถึงแม้จะมายังไม่เต็มตัวก็เถอะ) จะคุยกันทั้งที ก็ต้องให้เห็นหน้าค่าตากันซะหน่อย เพื่อที่จะได้พูดคุยกันอย่างถูกคอและได้เห็นอากัปกิริยาซึ่งกันและกัน

Foursquare: จะไปไหนมาไหนทั้งที ก็ต้องอัพเดตให้เพื่อน ๆ ได้อิจฉาเล่นซะหน่อย ว่าแล้วก็จัดการเช็คอินสถานที่ต่าง ๆ ที่คุณไปมาผ่านแอพพลิเคชั่นนี้ซะเลย เพื่อน ๆ คุณจะได้รู้ว่า ณ ตอนนั้น คุณอยู่ที่ไหนทำอะไร จะได้มีเรื่องไปเม้าส์กันเพิ่มเติมต่อไป

Bump: ถ้าการติดต่อหรือการทำความรู้จักกับคนอื่นด้วยการเดินเข้าไปคุยธรรมดา ๆ นั้นเป็นเรื่องที่ดูน่าเบื่อหน่ายสำหรับคุณแล้วล่ะก็ ลองเพิ่มความสนุกเข้าไปด้วยการ "บัมพ์" กันหน่อยไหมเอ่ย? การบัมพ์นี่ก็ง่ายแสนง่าย เพียงแค่คุณและคนที่จะพูดคุยด้วยเปิดแอพฯ นี้ขึ้นมา จากนั้นก็เลือกข้อมูลที่จะส่งให้กัน อาจจะเป็นภาพ เพลง หรือข้อมูลใด ๆ ก็ได้ และจัดการมากระแทกมือกันเบา ๆ เพียงเท่านี้ข้อมูลต่าง ๆ ก็จะถูกส่งไปยังอีกเครื่องหนึ่งแล้ว




ขอบคุณข้อมูลกระปุกดอทคอม


อยากได้รูปมาใส่ในเว็บเราแต่ห้ามคลิกขวา Save as เรามีวิธีแก้มาบอกค่ะ

อยากได้รูปมาใส่ในเว็บเราแต่มีบางเว็บห้ามคลิกขวา Save as เรามีวิธีแก้มาฝากค่ะ


ให้ทำการปิด JavaScript ในส่วนของ IE:
1.สมมุติไปเจอเว็บ block click ขวากดยังไงก็ไม่ได้ซักที (เช่น http://www.serebii.net/index2.shtml ซึ่ง block การ click ขวาของเรา)

2.เข้าไปที่ Tools > Internet option



3. เข้าไปที่ Tab Security แล้วเลือกที่ custon level... จะปรากฏหน้าต่างนี้ขี้นมาหาตรงที่ Scripting Java applets เลือกตรงที่ disable และเลือกตรง ที่ Active script ให้กลายเป็น disable เช่นกัน


4. จากนั้นให้ปิดหน้าต่าง Browser แล้วเข้าไปที่เว็บนั้นอีกครั้ง เราก็คลิกขวาได้แล้วค่ะ


การปิด Java ในส่วน Firefox: (ขออภัยที่ไม่มีรูป )
1. เครื่องมือ > ตัวเลือก
2. หน้าต่างตัวเลือกจะแสดง > ไปที่ Tab เนื้อหา
3. หาดูจะมีที่เขียนว่า เปิดใช้งานจาวาสคริปต์ให้นำเครื่องหมายถูกด้านหน้าออกและคลิกตกลงได้เลยค่ะ

ที่มา http://www.zone-it.com/138794