เปิดร้านค้าออนไลน์ กระตุ้นเศรษฐกิจโดยใช้ไอที

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดร้านค้าออนไลน์ บนเว็บไซต์ www.dbdmart.com กระตุ้นผู้ประกอบการใช้การ "ขายสินค้าบนอินเตอร์" เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบธุรกิจที่ต้องการจำหน่ายสินค้าและบริการผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตให้มีร้านค้าออนไลน์เป็นของตนเอง ซึ่งจะช่วยประชาสัมพันธ์สินค้าและบริการ ขยายช่องทางค้าขาย ลดต้นทุน และขยายฐานลูกค้า รวมถึงเป็นแหล่งค้นหาข้อมูลสินค้าประเภทต่างๆ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน พร้อมผลักดันใช้เป็นตลาดกลางซื้อ-ขาย และรวบรวมข้อมูลผู้ค้าส่งสู่ผู้บริโภคโดยตรง


          หน้าตาของเว็บไซต์เป็นแบบนี้ค่ะ โทนสีสบายตา มีการแยกหมวดหมู่สินค้าให้ดูง่าย ที่สำคัญเลย สามารถเปิดร้านค้าออนไลน์ได้ฟรี ลงประกาศขายสินค้าฟรี แต่ตอนนี้เว็บไซต์ค่อนข้างช้า น่าจะอยู่ในช่วงปรับปรุงหรือทดสอบแน่ ๆ เลยค่ะ แต่เท่าที่ดูแล้วฟรีตลอดงานเลยทีเดียวค่ะ วิธีการสั่งซื้อยังไม่แน่ชัดว่าสามารถสั่งซื้อออนไลน์ได้เลยหรือไม่ ยังไงลองไปเปิดร้านค้าดูน่ะค่ะ ถ้า khonoffice มีเวลาว่างจากการทำงานประจำ จะไปเปิดร้านค้าบ้างค่ะ

มัลแวร์คืออะไร?

มัลแวร์ หรือ Malicious Software คือ ซอฟต์แวร์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อนแอบเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์โดยที่ผู้ใช้ไม่ได้อนุญาต มัลแวร์มีหลายชนิด ได้แก่ ไวรัสคอมพิวเตอร์ หนอน โทรจัน สปายแวร์ และซอฟต์แวร์อื่น ๆ ที่เป็นอันตราย

ไวรัสคอมพิวเตอร์ คือ โปรแกรมที่สามารถเพิ่มจำนวนได้เอง และทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์มีปัญหา ไวรัสจะแพร่กระจายจากคอมพิวเตอร์จากเครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง

หนอนคอมพิวเตอร์ เป็นโปรแกรมที่อันตรายแตกจากจากไวรัสแบบอื่น ๆ เพราะมันสามาระแพร่กระจายได้ทันที่โดยอัตโนมัติผ่านระบบเครือข่ายโดยที่ผู้ใช้ไม่รู้ตัว หนอนคอมพิวเตอร์อาจทำให้การดาวน์โหลดและการแสดงผลหน้าเว็บไซต์ช้ามาก

โทรจัน เป็นมัลแวร์ที่สามารถติดตั้งตัวเองได้โดยอัตโนมัติในเครื่องคอมพิวเตอร์ โทรจันมักแฝงมาพร้อมกับ
•การดาวน์โหลดภาพยนตร์หรือซอฟท์แวอร์แบบเพื่อนถึงเพื่อน (Peer-to-Peer) ทางอินเทอร์เน็ต •ซอฟท์แวร์ผิดกฎหมาย
• ไฟล์ที่มากับอีเมล
• ไฟล์ที่ส่งผ่านบริการข้อความออนไลน์หรือบริการพูดคุยผ่านอินเทอร์เน็ต

สปายแวร์ คือ ซอฟต์แวร์ที่แสดงโฆษณาหรือข้อมูลส่วนบุคคลหรือข้อมูลลับ โดยเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์เมื่อการติดตั้งโปรแกรมใหม่ สปายแวร์จะแอบขโมยข้อมูลเกี่ยวกับผู้ใช้และสามารถเปลี่ยนการตั้งค่าคอมพิวเตอร์ เพื่อให้คอมพิวเตอร์ทำงานช้าลง

           และในขณะนี้ ทางอเมริกาได้มีการเริ่มตรวจสอบคอมพิวเตอร์ที่ติดมัลแวร์ โดยสำนักข่าว CNN ได้รายงานว่า จำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์หลายล้านเครื่องทั่วโลก จะมีคอมพิวเอต์ประมาณ 3 แสนเครื่อง ที่จะไม่สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ เนื่องจากมีการระบาดของมัลแวร์อย่างหนัก โดยผู้ใช้คอมพิวเตอร์ที่มีมัลแวร์ในเครื่องจะไม่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลง นอกจากอินเทอร์เน็ตช้าลง และผู้ใช้ไม่สามารถเข้าไปอัพเดทแอนตี้ไวรัสได้

          อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้สามารถตรสจสอบได้ว่า เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้อยู่นั้น มีมัลแวร์ชนิดนี้หรือไม่ โดยเข้าไปที่เว็บไซต์ http://www.dcwg.org/detect/ แล้วคลิกที่เว็บไซต์ด้านล่าง หากภาพเป็นหลังเป็นสีเขียวแสดงว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณไม่มีมัลแวร์ แต่หากเป็นสีแดง แสดงว่ามีมัลแวร์ซ่อนอยู่ จากนั้นทางเว็บไซต์จะเชื่อมต่อกับลิงค์ที่สอนวิธีลบมัลแวร์ออกจากเครื่อง

อ้างอิงจาก :kapook.com
               :bangkokbank.com

อัตราค่าส่งไปรษณีย์ EMS แบบธรรมดา และ แบบลงทะเบียน มาฝากค่ะ

อัตราค่าส่งไปรษณีย์ EMS แบบธรรมดา และ แบบลงทะเบียน

พิกัดน้ำหนัก อัตราค่าบริการ (บาท/ฉบับ/ห่อ)
ไม่เกิน 20 กรัม 32
เกิน 20 แต่ไม่เกิน 100 กรัม 37
เกิน 100 แต่ไม่เกิน 250 กรัม 42
เกิน 250 แต่ไม่เกิน 500 กรัม 52
เกิน 500 แต่ไม่เกิน 1000 กรัม 67
เกิน 1000 แต่ไม่เกิน 1500 กรัม 82
เกิน 1500 แต่ไม่เกิน 2000 กรัม 97
เกิน 2000 แต่ไม่เกิน 2500 กรัม 122
เกิน 2500 แต่ไม่เกิน 3000 กรัม 137
เกิน 3000 แต่ไม่เกิน 3500 กรัม 157
เกิน 3500 แต่ไม่เกิน 4000 กรัม 177
เกิน 4000 แต่ไม่เกิน 4500 กรัม 187
เกิน 4500 แต่ไม่เกิน 5000 กรัม 237
เกิน 5000 แต่ไม่เกิน 5500 กรัม 242
เกิน 5500 แต่ไม่เกิน 6000 กรัม 267
เกิน 6000 แต่ไม่เกิน 6500 กรัม 292
เกิน 6500 แต่ไม่เกิน 7000 กรัม 317
เกิน 7000 แต่ไม่เกิน 7500 กรัม 342
เกิน 7500 แต่ไม่เกิน 8000 กรัม 367
เกิน 8000 แต่ไม่เกิน 8500 กรัม 397
เกิน 8500 แต่ไม่เกิน 9000 กรัม 427
เกิน 9000 แต่ไม่เกิน 9500 กรัม 457
เกิน 9500 แต่ไม่เกิน 10000 กรัม 487
เกิน 10 แต่ไม่เกิน 11 กิโลกรัม 502
เกิน 11 แต่ไม่เกิน 12 กิโลกรัม 517
เกิน 12 แต่ไม่เกิน 13 กิโลกรัม 532
เกิน 14 แต่ไม่เกิน 15 กิโลกรัม 562
เกิน 15 แต่ไม่เกิน 16 กิโลกรัม 577
เกิน 16 แต่ไม่เกิน 17 กิโลกรัม 592
เกิน 17 แต่ไม่เกิน 18 กิโลกรัม 607
เกิน 18 แต่ไม่เกิน 19 กิโลกรัม 622
เกิน 19 แต่ไม่เกิน 20 กิโลกรัม 637

1 ตุลาคา 2554

ไปรษณีย์ประกาศราคาค่าส่งพัสดุในประเทศแบบด่วนพิเศษ หรือ EMS ใหม่ โดยราคาจะปรับขึ้น 1 ตุลาคมนี้ ราคาที่ปรับใหม่นั้นแพงกว่าเดิม 7 - 15% จากราคาที่ใช้ในปัจจุบัน

ค่าส่งไปรษณีย์ EMS อัตราใหม่จะเริ่มต้นที่ 32 บาท สำหรับน้ำหนักไม่เกิน 20 กรัม และจะเป็น 37 บาทสำหรับน้ำหนัก 21 - 99 กรัม และสูงสุดที่ 20 กิโลกรัมซึ่งมีราคาค่าส่งสูงถึง 637 บาท

ประกาศราคาค่าส่งดังกล่าวได้ถูกพิมพ์เป็นเอกสารและติดไว้ที่ทำการไปรษณีย์ ท่านผู้อ่านสามารถดูประกาศราคาค่าส่งไปรษณีย์ EMS ใหม่ได้ที่รูปด้านล่างนี้ อย่างไรก็ตาม ณ วันที่เขียนบทความ ยังไม่ปรากฏการแจ้งการปรับราคาค่าส่ง EMS ราคาใหม่ที่เว็บไซต์ของไปรษณีย์ไทยแต่อย่างใด

ส่งแบบธรรมดา
น้ำ หนักเริ่มต้น ไม่เกิน 1กก. คิด 20 บาท
น้ำ หนักเกิน 1กก. แต่ ไม่เกิน 2กก. คิดเพิ่ม 15 บาท = 35 บาท
น้ำ หนักเกิน 2กก. แต่ ไม่เกิน 3กก. คิดเพิ่ม 15 บาท = 50 บาท
(ทุก 1 กิโล จะคิดเพิ่ม 15 บาท)

ส่งแบบลงทะเบียน
น้ำหนัก 100 - ไม่เกิน 250 กรัม ค่าส่ง 22 บาท
น้ำหนัก 250 - ไม่เกิน 500 กรัม ค่าส่ง 28 บาท
น้ำหนัก 500 - ไม่เกิน 1000 กรัม ค่าส่ง 38 บาท
หากท่านมีร้านค้าออนไลน์อยู่ และต้องการที่จะเพิ่มช่องทางการชำระเงินออนไลน์ โดยผ่านบัตรเครดิต วันนี้ Khonoffice จะมาแนะนำ ระบบชำระเงินผ่านบัตรเครดิตให้ทุกคนได้ศึกษาและพิจารณาดูค่ะ

1.ระบบชำระเงินผ่านบัตรเครดิต paypal
           เป็นระบบชำระเงินในเครือ e-bay ซึ่ง paypal เป็นที่ยอมรับในตลาดสากลเลยทีเดียว เป็นระบบที่ได้รับความเชื่อถือ และความปลอดภัยในการดูแลเงินของเรา โดยที่ระบบมีความรวดเร็วในการส่ง-รับและถอนเงิน ค่าธรรมเนียมต่ำ

อัตราค่าธรรมเนียมของ paypal
ยอดขายรายเดือน              ค่าธรรมเนียมสำหรับการรับชำระเงินภายในประเทศ
0.00฿ – 108,000.00฿                     3.4% + 11.00฿
108,000.01 – 360,000.00฿             2.9% + 11.00฿
360,000.01 – 3,600,000.00฿          2.7% + 11.00฿
มากกว่า 3,600,000.01฿                   2.4% + 11.00฿

การสมัคร Paypal สมัครฟรี แต่ จำเป็นต้องมีเครดิตการ์ด หรือบัตรเว็บการ์ด ในการยืนยันบัญชี
(สำหรับผู้ที่ไม่มีบัตรเครดิต แนะนำบัตรเว็บการ์ด เพราะง่าย และสะดวก บัตรเว็บการ์ด เป็นบริการของธนาคารกสิกรไทย สามารถใช้จ่ายได้ผ่านทางอินเทอร์เน็ต เทียบเท่าบัตรวีซ่า กรณีเราซื้อสินค้าทางอินเทอร์เน็ต จะหักเงิน จากในบัญชี

สำหรับบัตรเว็บการ์ด หรือปัจจุบัน เปลี่ยนชื่อเป็น บัตร Shopping Card ของธนาคารกสิกรไทย ..เมื่อได้หมายเลขบัตรแล้ว ระบบจะเซ็ตวงเงินในการใช้จ่ายทางเน็ต ไว้ที่ 0 บาท  ดังนั้น ก่อนใช้บัตรเว็บการ์ดใช้จ่ายทางเน็ต หรือใช้สมัคร paypal ให้ไปเปลี่ยนวงเงินในบัตรก่อน  ให้มีวงเงินสามารถใช้จ่ายได้ สำหรับการสมัคร Paypal โดยใช้บัตร shopping card จะถูกหักเงินประมาณ 1 เหรียญเศษๆ และ Paypal จะคืนเงินที่หักให้ในภายหลัง ซึ่งล่าสุดอาจคืนให้ หลังจากที่เชื่อมบัตรทันที (เมื่อก่อนจะคืนให้หลังจากมีการสั่งจ่ายครั้งแรก) ..ที่ต้องมีการหักค่าใช้จ่ายเนื่องจาก ใช้ตัวเชื่อมระหว่าง บัตร shopping card กับ Paypal

2.ระบบชำระเงินผ่านบัตรเครดิต paysbuy
           เป็นบริษัท DTAC ร่วมมือกับ Paypal เป็นผู้ให้บริการ รับ – ส่ง เงิน และธุรกรรมทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์  สำหรับร้านค้าออนไลน์ที่เป็นสมาชิกกับ Paypal อยู่แล้ว ทาง paysbuy จะเพิ่มช่องทางการชำระเงินให้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดทั้งสิ้น  สมัครสมาชิกได้ง่ายโดยใช้อีเมลล์เป็นชื่อบัญชี

3.ระบบชำระเงินผ่านบัตรเครดิต thaiepay 
           เป็นระบบ eModules ออกแบบมาสำหรับร้านค้าที่มีเว็บไซต์อยู่แล้ว และต้องการเติมเต็มธุรกิจออนไลน์ของคุณด้วยระบบชำระเงิน  ระบบแสดงผลได้  2 ภาษาทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษและระบบรองรับสกุลเงินได้ถึง 9 สกุลเงิน โดยที่ร้านค้าสามารถกำหนดค่าเหล่านี้ได้ด้วยตนเอง โดยเราจะไม่มีการเรียกเก็บค่ามัดจำสำหรับผู้ใช้บริการของเรา ยิ่งไปกว่านั้น THAIEPAY จะให้บริการด้วยค่าบริการที่คงที่ โดยร้านค้าจะต้องเสียค่าใช้จ่ายดังนี้
* ค่าบริการรายเดือน สำหรับ ระบบชำระเงิน (ePayment 295 บาท, eCart 495 บาท), ระบบร้านค้าออนไลน์ (Package S 350 บาท, Package M 550 บาท, Package L 750 บาท)
* ค่าธรรมเนียม 4% สำหรับบัตร VISA, MasterCard และ 4.75% สำหรับบัตร AMEX โดยหักจากยอดรายได้รวมของร้านค้า

วิธี ลบภาพพื้นหลัง ออกจากรูปสินค้า แบบเนียนๆ ด้วย Photoshop ง่ายๆ มาฝากค่ะ

วันนี้จะมาบอกการตัดภาพพื้นหลังออกจาก รูปสินค้า ด้วย Photoshop เสื้อผ้า เครื่องสำอาง เป็นต้น ให้เพื่อนๆเอาไปใช้แต่งรูปสินค้าของเพื่อนๆ ให้สวยน่าซื้อนะค่ะ

Delete background image

1.เปิดรูปสินค้าขึ้นมา เลือก Filter> Extract จะเห็นดังภาพข้างล่างนี้ค่ะในตัวอย่างตั้ง Brush Size 10 Brush Size เพื่อกำหนดขนาดเส้นของบรัช และติ๊ก Smart Highlighting

2.ใช้เครื่องมือ Edge Highlighter Tool เป็นรูปปากกาวาดกำหนดขอบเขตของรูปที่เราต้องการ หากเกินไปมากให้ใช้ Eraser Tool ไว้ลบเส้นที่เราวาดล้นหรือเกินขอบของรูป ถ้าไม่ถนอดก็ใช้ Hand Tool รูปแว่นขยายซูมเข้าไปดูใกล้ๆ ก็ได้ค่ะ ต้องใช้สมาธิหน่อยนะค่ะ ถ้าตรงไหนมัซอกเยอะลงล้นไปเลยได้ แล้วค่อยมาลบทีหลังค่ะ

Delete background Product image

3.วาดขอบให้รอบรูปภาพหมดแล้วใช้ Fill Tool เทสีลงไปในกรอบ ดังภาพระวังอย่าให้มีเหลือช่องว่าง วาดปิดรูปให้หมดไม่งั้นสีที่เทจะออกมาด้านนอกค่ะ

Delete background image

4.กด Preview ดู ถ้าใช้ได้แล้วกด OK ได้เลยค่ะ

Delete background image

5.ใช้ยางลบลบส่วนเกินที่เลยออกมา จะได้ภาพที่ไม่พื้นหลัง เลือกใส่สีพื้นตกแต่งได้ตามใจชอบเลยค่ะ


File>>Save for web & Devices เลือกเป็น JPG, PNG หรือ GIF ก็ได้ค่ะ ติ๊กตรงช่อง Transparency แล้วก็ Save


จะได้ดังภาพเลยค่ะ


หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะค่ะ อยากให้ทุดคนมีภาพสวยๆไว้แต่งเว็บค่ะ มีอะไรชี้แนะได้นะค่ะ ขอบคุณค่ะ

5 อันดับเว็บขายของมือสอง มาดูกัน ^^

เมื่อพูดถึงการขายของมือสอง อินเทอร์เน็ตก็เข้ามามีส่วนช่วยได้เยอะ เพราะผู้อยากขายกับผู้อยากซื้อสามารถ ตกลงซื้อขายกันเองได้เลยโดยไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง ซึ่งวันนี้ khonoffice ได้นำรายชื่อ 5 อันดับเว็บขายของมือสอง มาให้ทุกท่านได้ชมกัน

อันดับที่ 5 Guitarthai Classified
สำหรับอันดับที่ 5 นี้ อ่านจากชื่อก็คงพอจะเดาออกว่าเป็นเว็บสำหรับนักดนตรี ซึ่งอันที่จริงแล้วเว็บนี้ไม่ได้เป็นเว็บขายของโดยตรง แต่มีส่วนที่แยกออกมาเป็นกระดานซื้อขายอุปกรณ์ดนตรีมือสองให้คุณๆ ได้ตกลงซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน ใครที่กลัวว่าไปประกาศขายเครื่องดนตรีตามเว็บบอร์ดอื่นๆ จะไม่มีคนสนใจ ก็ขอเชิญที่เว็บนี้เลยhttp://www.guitarthai.com/guitarthaisell/viewmusicsell.asp เพราะมีนักดนตรีเข้าออกที่นี่กันตลอดวัน


อันดับที่ 4 Thailandcar
เมื่อก่อนถ้าอยากจะซื้อรถมือสองก็ต้องไปเดินด้อมๆ มองๆ ตามเต๊นท์ขายรถ หรือไม่ก็ไปหาซื้อหนังสือที่รวบรวมรถตามเต๊นท์ไว้ แต่เดี๋ยวนี้แค่คุณนั่งเล่นอยู่บ้านเปิดเว็บก็สามารถหารถถูกใจได้แล้ว รวมถึงถ้าอยากขายก็สามารถประกาศขายเองได้เลยไม่ต้องไปแบ่งเปอร์เซ็นต์ให้ใคร ถ้ากำลังมองหารถ(เก่า)คันใหม่อยู่ละก็ลองแวะชม http://www.thailandcar.com


อันดับที่ 3 Pramool
สำหรับเว็บในอันดับที่ 3 นี้ค่อนข้างจะแตกต่างสักหน่อยเพราะจะว่าเป็นเว็บขายของก็ไม่ใช่ซะทีเดียว แต่เป็นเว็บสำหรับให้นำสินค้ามาเปิดประมูลกัน งานนี้เรียกว่ากว่าจะได้ของไปก็ต้องต่อสู่แย่งชิงกันหน่อย แต่ก็สนุกไปอีกแบบ รวมทั้งพวกพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ก็คงจะยิ้มกริ่มเพราะสามารถขายของได้ในราคาสูงสุด ถ้าอยากสัมผัสกับอีกหนึ่งบรรยากาศการซื้อขายก็ลองแวะชมกันได้ http://www.pramool.com/


อันดับที่ 2 Pantip Classified
ชื่อ Pantip คงเป็นที่คุ้นหูกันดีสำหรับคนออนไลน์ แต่หลายคนก็อาจจะยังไม่ทราบว่านอกจากกระดานสนทนาแล้ว เว็บ Pantip ยังมีหน้าประกาศขายของกันด้วย โดยได้แยกหมวดหมู่ของสินค้าแต่ละประเภทไว้เช่น อุปกรณ์คอมพิวเตอร์, อุปกรณ์สื่อสาร, อสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น ถ้าคุณก็เป็นคนหนึ่งที่ใช้บริการกระดานสนทนาของ Pantip เป็นประจำก็ลองไปแวะชมกระดานขายของกันบ้างนะ http://www2.pantip.com/classifieds/

อันดับที่ 1 Thai Second Hand

ถ้าพูดถึงเว็บขายของมือสอง คงจะไม่มีใครเกินเว็บนี้ Thai Second Hand เพราะมีสินค้าให้เลือกซื้อมากมายกว่า 20 หมวดหมู่ แถมในแต่ละหมวดหมู่ ก็มีคนนำสินค้ามาวางขายกันอย่างคึกคัก ในแง่ของผู้ขายก็เข่นกัน ไม่ต้องกลัวว่าสินค้าที่คุณประกาศไปนั้นจะไม่มีคนเห็น เพราะเว็บนี้ วันๆ หนึ่งมีผู้เข้าเยี่ยมเยียมแวะชม เป็นหมื่นคน เรียกว่าเป็นเว็บที่มีบรรยากาศการซื้อขายรุนแรงมาก ไม่ควรพลาดเลย http://www.thai2hand.com/

การซื้อขายของผ่านระบบอินเทอร์เน็ตถือว่าเป็นการอำนวยความสะดวกและกำลังจะเข้ามาเป็นวิถีชีวิตใหม่ของพวกเราในอนาคตอันใกล้ แต่ยังไงก็อยากจะขอเตือนว่าให้ใช้ความระมัดระวังประกอบกับเลือกเว็บไซต์ที่เชื่อถือได้ ยิ่งในกรณีที่ต้องโอนเงินเข้าบัญชีก่อนถึงจะส่งของยิ่งต้องระวังไว้หนัก เพราะก็เคยมีข่าวการหลอกลวงในลักษณะนี้ออกมาเหมือนกัน

ยกเลิกการแจ้งเตือน จาก Facebook ทำไงดีน้า....

หลาย ๆ ท่านคงเบื่อกับการนั่งลบอีเมลล์ วันนี้ Khonoffice มีวิธีการยกเลิกการแจ้งเตือน Facebook มาบอกกันค่ะ

อันดับแรก เราต้องทำการ Login เข้าหน้า เฟสบุคของเรา

จากนั้น ไปที่มุมขวาบน เลือกเมนู หน้าแรก > ตั้งค่าบัญชีผู้ใช้


เมื่อเลือกเสร็จแล้วจะปรากฎหน้า ดังด้านบน จากนั้นเลือก การแจ้งเตือน



จากนั้นจะปรากฎหน้าดังด้านบน  เราสามารถเลือกได้เลยว่า จะยกเลิกอะไรบ้างซึ่งมีให้เลือก ดังหัวข้อต่อไปนี้
1. facebook
2. รูปภาพ
3. กลุ่ม
4. หน้า
5. กิจกรรม
6. คำถาม
7. บันทึก
8. ลิงค์
9. วีดีโอ
10. ศูนย์วิธีการใช้
11. ความคิดเห็นบนกระดานข้อความ
12. การอัพเดทอื่น ๆ จาก facebook
13. เครดิต
14. แอพพลิเคชั่นอื่น ๆ

จากนี้ไปทุกท่านก็เลือก ได้เลยค่ะ ว่าอยากจะยกเลิกในหัวข้อใดบ้าง ตามใจชอบเลย ....จะได้ไม่ต้องไปนั่งลบ อีเมลล์กันอีก ^&^

เพิ่มลิงค์หรือ Add URL อีกวิธีหนึ่งของการทำ SEO

การเพิ่มลิงค์เพื่อโปรโมทเว็บไซต์ให้ดังกว่าคู่แข่ง
การเพิ่มลิงค์ไปยังเว็บไซต์อื่นหรือการให้เว็บไซต์อื่นทำลิงค์มายังเว็บไซต์เรานั่นเอง ซึ่งที่ผ่านมาจะใช้การแลกลิงค์กับเพื่อนบ้าน แต่ในความเป็นจริง การแลกลิงค์กับเพื่อนบ้านจะประสบผลสำเร็จก็ต่อเมื่อแลกลิงค์กับเว็บไซต์ที่มีคุณภาพจริง ๆ แต่หากลิงค์เราไปอยู่กับเว็บไซต์ที่มีผู้เข้าชมไม่มาก ก็ไม่เป็นการเสียเวลาเปล่า เพราะเท่ากับว่าเราได้สร้างสะพานเข้ามาสู่เว็บไซต์เราเช่ากัน
การทำ SEO นั้นทำเพื่ออะไร? คำตอบก็คือ ทำเพื่อให้เว็บไซต์เรามีโอกาสถูกค้นพบในเครื่องมือค้นหาต่าง ๆ เช่น Google yahoo เป็นต้น ซึ่งทาง Google จะจัดอันดับเว็บไซต์ ในหน้าค้นหา นั่นคือ เว็บที่มีลิงค์เชื่อมเข้ามาหาเยอะ ก็ถือว่าเป็นเว็บที่มีคุณภาพ ส่วนประกอบที่เหลือก็คือ Keyword รวมถึงเนื้อหาที่มีประโยชน์ต่อผู้เข้าชม
การเพิ่มเว็บไซต์ลงในสารบัญเว็บไซต์ก็เช่น sanook.com ,thaiNN.com ฯลฯ เป็นต้น และมีอีกหลาย ๆ เว็บไซต์ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ
ข้อดีของการเพิ่มลิงค์หรือ Add URL
ก็อย่างที่กล่าวมาข้างต้นว่า การเพิ่มลิงค์หรือ Add URL ก็เพื่อให้เว็บไซต์เรามีโอกาสถูกค้นพบจาก Search engine การเพิ่มลิงค์ไปยังสารบัญเว็บไซต์นั้นก็จะทำหน้าที่โปรโมทเว็บไซต์ต่าง ๆ ซึ่งเว็บไซต์ส่วนใหญ่ จะมี robot ซึ่งเปรียบเสมือนหุ่นยนต์ที่ทาง Search engine สร้างขึ้น ปัจจัยของการทำให้เว็บเราติดอันดับสูงสุดในหน้าค้นหาก็คือ การนำเว็บไซต์เราเพิ่มเข้าสู่ฐานข้อมูล เพื่อให้ Robot ของ Search engine เข้ามาเก็บรวบรวมไว้ เว็บไหนก็ตามที่การฝากลิงค์ไว้มากที่สุด นั่นเอง

มารู้จัก HTML5 กันดีกว่า....

HTML 5 คืออะไร
HTML 5 เป็นการรวมตัวกันของ HTML + CSS+Javascript เนื่องจากในสมัยนี้ การแสดงผลในหน้าจอคอมพิวเตอร์นั้นมีหลายขนาดมากมาย ไม่ว่าจะเป็นโน้ตบุคขนาดหน้าจอต่าง ๆ iPad ,Galaxy Tab เป็นต้น
แต่การจะตกแต่งเว็บไซต์ ให้ดูดีมีสไตล์นั้น บางคนก็นิยมใช้แฟลชกันอยู่....ซึ่งไม่สามารถนำมาแสดงผลได้ในหน้าจอ iPad iPhone ได้ ดังนั้นการออกแบบเว็บไซต์ให้ใช้ได้ทุก Platform และมีลูกเล่นได้ตามต้องการนั้น ก็คือ การออกแบบด้วย HTML5 + CSS3 นั่นเอง
  • Semantics: เป็นฟีเจอร์ที่ทำให้ดีไซตเนอร์และโปรแกรมเมอร์ทำงานด้วยกันได้อย่างราบรื่นขึ้น HTML5 จะสามารถตั้งชื่อ element ได้เอง จากเดิมที่เราใช้ div ,span แต่ HTML5 จะสามารถตั้งแท็ก หรือ ได้ โดยการระบุชื่อ element นั้นจะทำให้ดีไซต์เนอร์สามารถเข้าใจว่า ส่วนใดเป็น Header Foote article นอกจากนี้การระบุชื่อของแบบเฉพาะเจาะจง
  •  Offline & Storage: เมื่อก่อนระบบเว็บไซต์จะมี cache หรือ cookie เพื่อสำหรับเก็บค่าต่าง ๆ ของผู้ใช้ แต่ใน HTML5 นั้น จะสามาระเก็บเกมหรืออะไรก็ได้ตามเก็บว็ในเครื่องโดยไม่จำเป็นต้องโหลดซ้ำอีก เช่น เกมส์ ข้อดีของ Offline Storage ก็คือ สามารถใช้งานตามความสามาถของ Web App ได้ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้ต่ออินเทอร์เน็ตก็ตาม เช่น ใช้งาน Google Docs หรือ Gmail แบบ Offline ได้ พอต่ออินเทอร์เน็ตก็จะสามารถ Syn ข้อมูลหากันเอง 
  • Device Access: วิวัฒนาการจะเปลี่ยนไป และอีกไม่นานเราอาจสามารถใช้อุปกรณ์ได้อีกหลากหลาย และไม่จำเป็นต้องอยู่บนจอคอมพิวเตอร์ 
  • Connectivity: โดยปกติเราจะใช้ port 80 ในการเข้าชมเว็บไซต์ แต่หลังจากนี้ HTML5 ที่รองรับการใช้ port สารพัดชนิด ก็จะทำให้เราสามารถใช้ฟังชั่นก์การทำงานอื่น ๆ เช่น chat, เปิด FTP
  • Multimedia: สามารถชมภาพและเสียงได้โดยไม่ต้องลง Flash หรือส่วนอื่น ๆ เช่นหากต้องการลง Youtube ใน HTML5 นั้นสามารถใช้แท๊ก และ 
  • 3D,Graphics & Effects: รองรับการทำงานแบบ 3D , การแสดงผลที่มีลูกเล่นมากขึ้น 
  • Performance & Integration: ใช้ระบบที่ทำให้เราสามารถเปิดเว็บที่มี Content เร็วขึ้น 
  • CSS3: รองรับการตกแต่ง ดีไซต์ และแสดงผลเว็บไซต์ให้ตรงตามมาตรฐาน

ความสามารถใน CSS3
  • Round Corners: สามารถลบมุมได้  
  • Background Decoration: ใส่ background ได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น image หรือใส่หลาย image ได้ จะใส่สี ใส่สีแบบไล่เฉด สั่ง tile background ได้) 
  • Colors: ตั้งค่าสีได้หลายโหมด จากเดิมเราจะต้องใช้สีในโหมด RGB หรือ Hex Color (ที่เป็นโค้ดรหัส 6 ตัว #3b5998 ฯลฯ) ก็สามารถใช้สีในระบบอื่นได้ เช่น HSL (Hue, Saturation, Lightness) หรือจะใช้ระบบ HSLA หรือ RGBA (A คือ Alpla คือค่าความโปร่งใสของสี) ก็ได้ 
  • Text-Effects: ใส่เงา (text-shadow) หรือตั้งค่า text-overflow (มีตัวอักษรอะไรเกินกรอบที่กำหนดไว้ ก็ตั้งค่าให้แสดงผลเป็นตัวอักษร “…” อะไรแบบนี้ก็ได้) 
  • Attribute Matching: ตั้งค่า css อิงตาม element ที่มีลักษณะตามที่กำหนดได้ เช่น ลิงก์ a ที่มีคำว่าแพนด้า ให้แสดงผลเป็นตัวอักษรขาวพื้นหลังดำTransformation: การจับ, บิด, หมุน ตัวอักษร ภาพ หรืออะไรก็ตามโดยไม่เสียรูปเดิม 
  • Box Model: เนื่องจาก CSS3 ปรับปรุงการจัดระเบียบ การแสดงผล มองทุกวัตถุเป็น box ซึ่งครอบคลุมและรองรับการใช้งานที่จะเกิดขึ้นมากขึ้น 
  • Webfont: รองรับการแสดงผลในฟอนต์ที่หลากหลายมากขึ้น ก็คือในหน้าเว็บ เราไม่จำเป็นจะต้องใช้ฟอนต์ธรรมดาสามัญอย่าง Tahoma, Arial, Thonburi แต่สามารถใช้ฟอนต์ที่สวยงามและหลากหลายได้ด้วยเทคนิค @font-face ซึ่งบริการเว็บฟอนต์ที่เป็นที่รู้จักกันก็คือ Google Webfont นั่นเอง 
  •  Animation: ตั้งค่าให้แสดงอนิเมชั่นจากรูปหนึ่งไปเป็นอีกรูปหนึ่ง (tween) อะไรแบบนี้ก็ได้

วิธีถ่ายภาพสินค้าให้น่าซื้อ ง่ายๆ ราคาถูก แบบมืออาชีพ

Product

กระแสการค้าขายสินค้าบนอินเทอร์เน็ตกำลังมาแรง เพราะใช้เงินลงทุนน้อย ไม่ต้องจ้างลูกจ้าง หรือเช่าพื้นที่ทำร้านให้เสียสตางค์ ทำให้หลายๆ คนอยากมาเป็นพ่อค้าแม่ค้าขายของบนอินเทอร์เน็ตกันบ้าง

การมีหน้าร้านออนไลน์ไม่ใช่เรื่องยาก แต่สิ่งสำคัญก็คือ ทำยังไงถึงจะให้ร้านของเราสามารถแข่งขันกับร้านอื่นๆ (ซึ่งมีอยู่เป็นร้อยเป็นพัน) นอกจากเรื่องของราคา การประชาสัมพันธ์และบริการแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือ ภาพถ่ายของสินค้าต้องสวยงาม ดึงดูดใจเอาไว้ก่อน (ถึงแม้สินค้าตัวจริงจะดูไม่ได้ก็เถอะ)? ฉบับนี้มีเคล็ดลับในการเตรียมภาพสินค้าสำหรับร้านค้าออนไลน์ ให้สวยงามดึงดูดใจลูกค้า มาแนะนำให้ลองนำไปใช้ดู

1. เตรียมสินค้าให้พร้อมก่อน
ไม่ว่าเราจะขายอะไรก็ตาม ของมือหนึ่ง ของมือสอง ของมีตำหนิหรือของค้างสต๊อค ฯลฯ เราควรตรวจสอบสินค้าและบรรจุภัณฑ์ให้อยู่ในสภาพที่เรียบร้อย สวยงามเสียก่อน กล่องใส่สินค้าก็ควรจัดให้อยู่ในสภาพดีๆ (เท่าที่จะทำได้) การจัดเตรียมสินค้าในเบื้องต้นนอกจากจะช่วยให้การถ่ายภาพในขั้นตอนต่อไปง่ายขึ้นแล้ว ยังสื่อให้เห็นถึงความเอาใจใส่ต่อสินค้าของผู้ขายด้วยถ่ายภาพสินค้า

2. เตรียมกล้องให้พร้อม
ถ่ายภาพสินค้า ไม่ต้องใช้กล้องและเลนส์ระดับเทพ ถ้าเราไม่ได้คิดจะเปิดสตูดิโอรับงานถ่ายสินค้าให้แบรนด์ดังๆ กล้องที่ใช้ถ่ายจะเป็นกล้องคอมแพคหรือ SLR แบบธรรมดาๆ ก็เพียงพอแล้ว (ถ้าเป็นกล้องคอมแพคก็จะดีหน่อยตรงที่ถ่ายมาโครได้) หากใช้กล้อง SLR ก็ควรดูช่วงเลนส์ที่ใช้นิดนึง หากสินค้าที่จะถ่ายมีขนาดเล็กมาก เช่น พวกเครื่องประดับ ก็อาจจะต้องหาเลนส์มาโครเพิ่ม เพื่อจะได้ภาพที่ชัดเจนขึ้น แนะนำให้ลองเข้าไปหาเลนส์มือสอง ตามเว็บไซต์ต่างๆ ดูก่อน อาจจะได้ของดีราคาถูกมาใช้ก็ได้ ส่วนสินค้าอื่นๆ เลนส์ช่วงนอร์มอล ปกติก็ใช้งานได้ดี

how-to-make-a-inexpensive-light-tent

3. เตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็น
อุปกรณ์แนะนำ หากคิดจะถ่ายภาพสินค้า นั่นก็คือ Light tent เป็นอุปกรณ์ลักษณะคล้ายๆกล่องหุ้มด้วยผ้าสีขาว เอาสินค้าวางไว้ข้างใน และใช้แสงส่องจากด้านนอกเข้าไป Light tent จะช่วยให้แสงนุ่มนวลขึ้น ลดการเกิดเงา
สนนราคาของตัวมันมีทั้งแบบถูกและแพง เลือกซื้อกันได้เลย แต่แนะนำให้ทำขึ้นเองถูกดี วิธีการสร้าง Light tentโดยประยุกต์เอาจากอุปกรณ์ใกล้ๆ ตัว เช่น กล่องกระดาษ ท่อน้ำ กระดาษไข หรือผ้าขาว รวมๆ แล้วใช้งบไม่เกินห้าร้อยบาท สำหรับไฟที่ใช้ก็หาซื้อโคมไฟอ่านหนังสือมาสักสองตัว เพื่อใช้ส่องสว่าง (ไม่จำเป็นต้องใช้แฟลช) การถ่ายภาพด้วย Light tent นอกจากเราจะสามารถควบคุมตำแหน่งทิศทางของแสงแล้ว ยังช่วยให้ภาพสินค้าของเราดูเป็นมืออาชีพขึ้นด้วย
light-tent ตัว Light tent สามารถใช้ถ่ายสินค้าได้หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นของเล่น ของใช้ ไปจนถึงอาหาร หากจะสร้าง Light tent ขึ้นมาใช้งานเอง ให้คำนึงถึงขนาดของสินค้าที่เราจะถ่ายด้วย หากสินค้ามีขนาดใหญ่ก็ต้องสร้าง Light tent ให้ใหญ่ขึ้น และอาจต้องใช้ไฟมากกว่า 1 ดวง

ตัวอย่างวิธีทำ Light tent
3.1 เตรียมอุปกรณ์ กล่องกระดาษ กรรไกร กาว ตลับเมตรหรือไม้บรรทัด ปากกา กระดาษกาว กระดาษสีขาว และผ้าสีขาว

Boxsupplies



3.2 วัดขนาดแล้วใช้ปากกาวาด กล่องเป็นสี่เหลี่ยมเท่าๆ กันทั้งสี่ด้าน

step3 cut

3.3 ใช้กรรไกรตัดตามรอยปากกาที่วาดไว้

step4 complete

3.4 ใช้ผ้าสีขาวติดตรงที่ตัดไป แล้วใช้กระดาษแข็งสีขาววางข้างในกล่องดังภาพ เป็นอันเสร็จ

soft box result

dps tent softboxresult

4. เลือกฉากหลังให้ดีๆ
ข้อผิดพลาดอย่างหนึ่งในการถ่ายภาพสินค้า ที่มักพบเห็นตามเว็บไซต์ต่างๆ ก็คือ การใช้ฉากหลังหรือ Background ที่ไม่เหมาะสม บางเว็บถ่ายภาพสินค้าจากในห้องนอนของตัวเองนั่นแหละ ซึ่งก็ไม่ผิดอะไรครับ แต่สิ่งที่ติดมากับภาพสินค้าก็คือ สภาพห้องหับอันรกรุงรัง เสื้อผ้ากองระเกะระกะ แบบนี้ลูกค้าเห็นแล้วคงส่ายหน้า หรือบางที่ก็วางสินค้าไว้กับพื้นห้องมีแต่รอยฝุ่น ดูแล้วไม่เจริญหูเจริญตาเลย (แถมทำให้มูลค้าสินค้าตกต่ำลงไปอีก) ดังนั้นหากคิดจะถ่ายสินค้าให้ดูดีแล้ว ควรเลือกฉากหลังให้ดีครับ ฉากหลังที่ดีควรเป็นสีเรียบๆ ไม่ควรมีสีฉูดฉาดหรือสะท้อนแสงมาก ง่ายๆ เลยก็คือ หากระดาษสีขาวหรือสีดำ แผ่นใหญ่ๆ หน่อย สีละสองแผ่น แผ่นหนึ่งใช้รองพื้น ส่วนอีกแผ่นใช้เป็นฉากหลัง หรือหากอยากได้พื้นที่สะท้อนตัวสินค้า ก็ลองใช้แผ่นอะครีลิคสีขาวหรือดำวางเป็นพื้นดูครับ การใช้ฉากหลังเรียบๆ จะช่วยขับให้สินค้าของเราดูโดดเด่น น่าซื้อขึ้นมาก

5. ควบคุม Depth ให้เหมาะสม
Depth ที่ว่านี้ก็คือ ความชัดลึกของวัตถุนั่นเองครับ หากถ่ายด้วยกล้อง SLR ให้เลือกใช้โหมด A เพื่อควบคุมรูรับแสงเอง ในการถ่ายภาพสินค้าทั่วๆ ไป ควรเน้นให้เห็นรายละเอียดของสินค้าอย่างชัดเจน (ขึ้นอยู่กับว่าถ่ายอะไร) อย่าให้เบลอหรือหลุดโฟกัส อาจจะปล่อยให้ส่วนหลังๆ ชัดตื้นไปบ้างก็ได้ เพื่อละลายแบ็คกราวน์หรือฉากหลังออกไป อันนี้ไม่มีสูตรตายตัว หากจะถ่ายแบบชัดตื้น (คือใช้รูรับแสงกว้าง แต่วัตถุชัดแค่บางส่วน) ก็ควรถ่ายมาหลายๆ มุม เพื่อให้ลูกค้าเห็นรายละเอียดในส่วนอื่นๆ ด้วย
สำหรับขนาดของไฟล์ภาพ เราไม่จำเป็นต้องตั้งไปที่ขนาดใหญ่สุดก็ได้ อาจตั้งไว้ที่ขนาดกลางหรือเล็กก็เพียงพอแล้ว แต่สำหรับคุณภาพของไฟล์ แนะนำให้ตั้งไว้ที่สูงสุด)

6. ปรับแต่งภาพให้เหมาะสมก่อนนำภาพขึ้นไปโชว์
ขั้นตอนสุดท้ายก่อนนำภาพขึ้นไปโชว์บนหน้าร้านก็คือ การปรับแต่งไฟล์ให้เหมาะสม เมื่อได้ภาพมาแล้ว ให้ตรวจสอบว่ามีรอยฝุ่นผงใดๆ ที่อาจติดมาจากเลนส์หรือเซนเซอร์ ให้ทำการลบออกให้เรียบร้อย อาจทำการปรับแต่งสีสันเพิ่มเติมได้ จากนั้นทำการย่อขนาดของภาพให้เหมาะสม สุดท้ายให้ทำการเพิ่มความคมชัด (Sharpen) เนื่องจากเวลาเราย่อขนาด ภาพจะสูญเสียความคมไป ก่อนจะเซฟก็ควรเลือกการบีบอัดให้ดีๆ เลือกระดับการบีบอัดที่พอดีๆ อย่าให้ภาพเละมากเกินไปการใช้ Photoshop ในการปรับแต่งภาพ ควรระวังเรื่อง การลบหรือปิดบังตำหนิของสินค้า หากเราลบหรือปิดบังตำหนิของสินค้าจนเกินจริงไป เมื่อลูกค้าซื้อไปอาจเกิดปัญหา และร้านของเราอาจถูกมองว่าหลอกลวงได้ ดังนั้นซื่อสัตย์กับลูกค้าไว้ ดีที่สุดค่ะ

ตัวอย่างการแต่งภาพเข้าไปดูได้ที่
หวังว่าเทคนิคการเตรียมภาพสินค้าเพื่อนำขึ้นเว็บไซต์ที่แนะนำไปคงจะมีประโยชน์และช่วยดึงดูดลูกค้าให้กับร้านค้าบนอินเทอร์เน็ตของเพื่อนๆ นะค่ะ
บทความ : monotrendy
ภาพ: http://digital-photography-school.com/how-to-make-a-inexpensive-light-tent

10 วิธีการใช้ Keyword ในการทำ Search Engine Optimization

1. ใช้ keyword ที่บริเวณ ชื่อหน้าเพจ (Title)

ใส่ Keyword ที่เราต้องการ โดยจะใส่จากการเรียงจาก ซ้ายไปขวา
ตัวอย่างการใช้งาน :[title] keyword หลัก , keyword รอง , keyword อื่นๆ [/title] เป็นต้น

2. ใช้ keyword ที่บริเวณ ชื่อหัวข้อของเนื้อหา (Heading tag)

โดยการใช้ H1,H2,H3
ตัวอย่างการใช้งาน : [H1] Keyword [/h1] หรือ [H2] Keyword [/H2] เป็นต้น

3. ใช้ keyword ที่บริเวณ เนื้อหาในส่วนแรก (First Content)

ให้ใส่ Keyword ไว้ในตำแหน่ง 20 คำแรก ให้ชัดเจน หรืออาจจะใช้ตัวอักษรลักษณะเอียงก็ได้
ตัวอย่างการใช้งาน : [BODY][P] Keyword [/P][/BODY]

4. ใช้ keyword ที่บริเวณ ลิงค์เชื่อมโยงมาตรฐาน (Standard Text Link)

คือการเชื่อมโยงในลักษณะ การใช้ Text link เป็นตัวเชื่อมโยง แล้วแทรก Keyword ผสมเข้าไปด้วย
ตัวอย่างการใช้งาน : [a href="http://www.yoursite.com"] Keyword [/a]

5. ใช้ keyword ที่บริเวณ เนื้อหาในส่วนสุดท้ายของหน้า (The last content)

เพื่อเน้นย้ำหรือใช้ในการสรุปเนื้อหาอาจจะใช้เป็นลักษณะตัวเอียงหรือหนาก็ได้
ตัวอย่างการใช้งาน : [P] Keyword [/P] [/BODY]

6. ใช้ keyword ที่บริเวณ เมนูเลื่อนลง (Drop Down Menu)

Drop down menu นี้เป็นที่ซ่อน Keyword ที่ดีอีกที่ที่ไม่ควรมองข้าม
ตัวอย่างการใช้งาน : [FORM] [OPTION] Keyword [/OPTION] [/FORM]

7. ใช้ keyword ตั้งชื่อไฟล์และโฟลเดอร์ (Folder name,File name)

หากต้องใช้Keyword มากกว่า 1พยางค์ ควรใช้เครื่องหมาย "-" เป็นตัวคั่นกลาง
ตัวอย่างการใช้งาน :/ Keyword/ Keword.html, Keyword.jpg หรือ Keyword1-Keyword2.html

8. ใช้ keyword ที่บริเวณ คำอธิบายรูปภาพ (Images alt tag)

การใช้ tag alt เข้าช่วยนั้นเพราะว่า Sreach engine นั้นไม่รู้จักรูปภาพเราสามารถบอก Sreach engine รู้ ว่าภาพนั้นเป็นภาพของอะไรได้โดยใช้ tag alt นี้เข้าช่วย
ตัวอย่างการใช้งาน : [img src="images address" alt="Keyword"]

9. ใช้ keyword ที่บริเวณ คำอธิบาย ลิงค์ (Text link title)

การใช้ text link title นั้นคลายการใช้ tag alt เพียงแต่ tag นี้ใช้อธิบาย link
ตัวอย่างการใช้งาน :[ a href="http://www.yoursite.com" title="Keyword"] Keyword [/a]

10. ใช้ keyword จด Domain name ด้วย Keyword (Domain name register)

การใช้ Keyword หลักของเว็บในการจด Domain name นั้นหากทำได้ดีถือว่ามีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว.......

มาสร้างเว็บ HTML พื้นฐานกันเถอะค่ะ

มารู้จักกับ HTML กันดีกว่า
HTML คือ ภาษาที่ใช้ในการเขียนเว็บเพจ ย่อมาจากคำว่า Hypertext Markup Language หมายถึง ภาษาที่ใช้ในการเขียนข้อความ ลงบนเอกสารที่ต่างก็เชื่อมถึงกันใน cyberspace ผ่าน Hyperlink นั่นเอง
HTML ในปัจจุบันพัฒนามาจนถึง HTML 4.01 และ HTML 5 กำลังจะออกมาในเร็วนี้ นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาไปเป็น
XHTML ซึ่ง คือ Extended HTML ซึ่งมีความสามารถและมาตรฐานที่รัดกุมกว่าอีกด้วย

Website HTML Basic


1.คำอธิบายเว็บว่าเป็นเว็บเกี่ยวกับอะไรมีผลกับการค้นหาจาก google ด้วยนะค่ะ
2.ใส่ CSS style ให้เว็บไซด์ คือ ชุดคำสั่งที่ใช้สำหรับการกำหนดการแสดงผลข้อมูลหน้าเว็บเพจ จะใส่ในส่วนของ head ถ้าเป็นแบบฝัง ถ้าแบบแยกจะต้องเซฟไฟล์ .css แล้วลิงค์มาที่เว็บอีกทีค่ะ
3.กำหนดฟอนต์ และสีพื้นหลัง
4.ใส่ Style ให้ข้อมูลที่อยู่ใน div class="Content"
5.ใส่ Style ให้ menu ที่อยู่ใน ul class=".navbar"
6.ใส่ Style ให้สีลิงค์ menu
7.วิธีใส่ภาพ
8.วิธิใส่ลิงค์

ผลที่ได้เป็นดังภาพค่ะ

Website HTML Basic

Show All

หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกคนที่พึ่งเริ่มศึกษานะค่ะ

วิธีแต่งภาพ สินค้าด้วย Photoshop ให้สวยน่าซื้อ มาฝากค่ะ

เมื่อเราถ่ายรูปสินค้าเรียบร้อยแล้ว แสงความชัดของสินค้ายังไม่น่าสนใจเท่าที่ควร วันนี้เราเลยมีวิธีแต่งภาพ สินค้าด้วย Photoshop มาฝากค่ะ

Product before photoshopProduct After Photoshop










1.เปิด Photoshop ไปที่ File > Open รูปสินค้าที่เราจะแต่งภาพ
2. หากภาพมีขนาดใหญ่เกินไปสำหรับเว็บ ให้ลดขนาดไฟล์ไปที่ Image > Image size ปรับขนาดตามต้องการโดยทั่วไปเราจะปรับขนาดเป็น Pixels Product modify Photoshop

3. ปรับความสว่างของภาพ ไปที่ Image > Adjusments > Shadow/Hilight
แล้วลองปรับค่าตรง amount เพื่อเพิ่มความสว่างมากน้อยตามความเหมาะสมของภาพนะค่ะ ตัวอย่างใช้ 50% จะเห็นว่ารูปรถสว่างขึ้น
Photoshop modify Product

4. ต่อมา ปรับความเข้ม คมชัดของสีและเพิ่มความ bright ไปที่ Image > Adjusments > Brightness/Contrast แล้วปรับแสงความชัดตามความเหมาะสม
Product modify

5. ขั้นต่อไปก็เพิ่มความคมชัดให้กับรูปค่ะ วิธีนี้เหมาะสำหรับภาพที่ถ่ายออกมาแล้วเบลอ ไปที่ Filter > Sharpen > Unsharp Mask ปรับได้ตามต้องการเลยหรือจะเลือกใช้ sharpen , shapen edges ก็ได้ค่ะ ภาพคมชัดขึ้นมาทันใดเลยเนาะ
image product

6. ภาพที่เราถ่ายสินค้านั้นคงไม่ได้มีแค่ภาพ2ภาพ เสียเวลามากถ้าเราจะนั่งทำทีละรูป ดังนั้นเราจึงใช้ Actions เพื่อให้
โปรแกรมรันเองตามที่เราได้ปรับแต่งตามขั้นตอนต่างๆ โดยเริ่มจาก
6.1.คลิ้กที่แท็ป Window > Actions
6.2.คลิ้กที่ปุ่มสี่เหลี่ยม creat new action จากนั้นจะมีหน้าต่างให้เราตั้งชื่อ Action
โดยผมให้ชื่อ Action 2 แล้วกดปุ่ม Record รูปวงกลมเพื่อบันทึก
จากนั้นก็เริ่มทำการปรับแต่งภาพ ตามขั้นตอนที่ 1-5 ระหว่างนี้โปรแกรมมันจะทำการบันทึกขึ้นตอนการทำงานของเราค่ะ
เมื่อสิ้นสุดการแต่งภาพแล้วให้กดปุ่มสีเหลี่ยมที่วงกลมสีน้ำเงินเพื่อหยุดการบันทึก
ภาพต่อไปเวลาใช้ Action ก็กดปุ่ม play ได้เลยค่ะ โปรแกรมจะปรับแต่งภาพให้เราเอง ประหยัดเวลามากๆ
Phoduct image

เปิดร้านค้าออนไลน์กันเถอะค่ะ ^&^


เปิดร้านค้าออนไลน์กันเถอะค่ะ ^&^
บล็อกก่อนหน้านี้ได้ทำการอธิบายเกี่ยวกับสินค้าที่ขายดีบนอินเทอร์เน็ต คิดว่าตอนนี้คงได้สินค้าที่อยากจะขายกันแล้วใช่ไหมค่ะ วันนี้ Khonoffice จะพาไปเปิดร้านค้าออนไลน์กัน โดยที่เราจะเปิดกับเว็บไซต์ weloveshopping ซึ่งเป็นเว็บ shopping online อันดับหนึ่งเลยค่ะ การทำงานก็ง่ายแสนง่าย สมัครสมาชิกก็สามารถเปิดร้านค้าได้แล้วค่ะ

1.เข้าไปที่ลิงค์นี้เลยค่ะ http://www.weloveshopping.com/portal/sso/registerform.php



ใส่ข้อมูลง่าย ๆ กรอกข้อมูลตามความจริง เพื่อประโยชน์ของร้านค้าท่านเอง อย่าเพิ่งคิดว่าเป็นหน้าม้าให้ เว็บไซต์ weloveshopping น่ะค่ะ khonoffice เป็นเพียงสื่อกลาง แนะนำให้เท่านั้นค่ะ แล้วการเปิดร้านค้าออนไลน์เพียงอย่างเดียวก็ไม่ครบองค์ประกอบน่ะค่ะ ยังต้องมีการทำ การตลาดแบบครบวงจร เพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขายอีกค่ะ

การทำโฆษณา Facebook Adwords

การทำโฆษณา Facebook Adwords

Facebook Adwords
1. ไปที่ด้านล่างของหน้า Page Facebook แล้วคลิก โฆษณา
2.
คลิกสร้างโมฆณา

Details:
1. Design Your Advertising -Destination: External URL
-URL: ใส่ลิงค์หน้าที่ต้องการให้คลิกโฆษณาไปหา
-หัวเรื่อง: ชื่อโฆษณาไม่เกิน 25 ตัวอักษร
-ส่วนของข้อความ: ข้อความโฆษณาไม่เกิน 135 ตัวอักษร
-รูปภาพ: รูปภาพที่ใช้ในโฆษณา


2.กลุ่มเป้าหมาย                
2.1 สถานที่                                
- ประเทศ: ใส่ชื่อประเทศที่ต้องการให้แสดงโฆษณา
      Option: ทุกที เมืองที่อาศัย
2.2 สถิติประชากร                                
- อายุ : เลือกช่วงอายุที่ต้องการให้เห็นโฆษณา                                 - เพศ : ทั้งหมด ชาย หญิง
2.3 Interests - Precise Interests: 2.4 Advanced Demographics (Set target advanced)
    
- มีความสนใจเรื่อง: ทั้งหมด ชาย       
   
    - ความสัมพันธ์: ทั้งหมด โสด หย่าร้าง
       
In a relationship แต่งงาน
  
  - ภาษา: ภาษาที่ผู้ใช้ได้ลงทะเบียนไว้จะเห็นโฆษณานี้ สมัยนี้คนไทยเก่ง สามารถใช้ได้ภาษาไทย อังกฤษ เกาหลี จีน
2.5 การศึกษา และการทำงาน
    
- การศึกษา: ทั้งหมด จบวิทยา ในวิทยาลัย มัธยมปลาย
   
 
-การทำงาน : ใส่ชื่อบริษัทและองค์กร

3. แคมเปญ,การกำหนดราคาและเวลา
3.1 สกุลเงิน: เลือกสกุลเงิน
3.2 แคมเปญและงบประมาณ:
- ชื่อแคมเปญเนม: ใส่ชื่อแคมเปญ
- งบประมาณ: งบประมาณที่ใช้ใน 1 วัน
3.3 ตารางแคมเปญ :
- เริ่มแคมเปญวันนี้
- เริ่มแคมเปญวันที่กำหนด
3.4 ราคา
 - CPM หรือการจ่ายต่อจำนวนครั้งที่โฆษณาแสดงผลครบ1,000ครั้ง - CPC (cost per click) หรือการจ่ายต่อคลิก
3.5 Max Bid (ใช้สกุลเงินเดียวกับสกุลเงินแคมเปญ) - เลือก (CPM),และใช้สกุลเงิน
Max Bid (USD) เป็นราคาที่พร้อมจะจ่าย เมื่อโฆษณา 1000 ครั้ง (min 0.02 USD)
Suggested Bid: 0.05 – 0.10 USD
**วิธีคำนวณค่า max bid (0.10+0.05)/2= 0.075 โดยการ นำเอาค่าทั้งสองอันมาบวกกันแล้วหาร 2
 - เลือก (CPC) และเลือกสกุลเงิน Max Bid (USD) เป็นราคาที่จะจ่ายเมื่อมีคนเข้ามาคลิก (min0.01USD)                                
Suggested Bid: 0.12 – 0.23 USD
**วิธีคำนวณค่า max bid (0.12+0.23)/2= 0.175 โดยการ นำเอาค่าทั้งสองอันมาบวกกันแล้วหาร 2

ข้อมูล Targeted ที่เราเลือก
เป็นยังไงกันบ้างค่ะ พอจะเข้าใจการทำ Facebook Adwords กันหรือเปล่า หากมีข้อสงสัยก็ฝากคำถามไว้ได้น่ะค่ะ เดี๋ยวจะตอบไขข้อข้องใจให้ค่ะ

มาทำกรอบตาราง 2 สีกันเถอะ

บางทีเราก็อยากสร้างสีสันให้กับขอบตารางบ้างอ่ะ ^&^ วันนี้เรามาทำขอบตารางให้เป็นสองสีกันดีกว่า


ผลลัพธ์ที่ได้ก็ตามภาพเลยจ้าา เป็นยังไงกันบ้าง ง่าย ๆ เลยใช่ไหม ^&^ เอาแบบซอฟต์ ๆ กันไปก่อนน่ะค่ะ เดี๋ยวจะจัดให้เรื่อย ๆ ค่ะ

มาดูอันดับของเว็บไซต์ในประเทศไทยกัน


Alexa Rank Truehits Rank
google.co.th sanook.com
facebook.com mthai.com
google.com kapook.com
youtube.com dek-d.com
live.com manager.co.th
yahoo.com teenee.com
sanook.com exteen.com
blogspot.com playpark.com
pantip.com siamha.com
msn.com siamzone.com
wikipedia.org
mthai.com
amazon.com
kapook.com
manager.co.th
4shared.com
twitter.com
hi5.com
thaiseoboard.com
mediafire.com
dek-d.com
wordpress.com
weloveshopping.com
truelife.com
bloggang.com
truehits เป็นเว็บที่ใช้เก็บสถิติการเยี่ยมชมของเว็บในประเทศไทยที่เข้าร่วมกิจกรรม จึงแสดงแต่ชื่อเว็บของไทยเพียงอย่างเดียว

Alexa แสดงชื่อเว็บต่างประเทศที่คนไทยใช้ด้วย
1. google ติดทั้งอันดับ 1 และ 3 ... ช่วยตอกย้ำการเป็นแบรนด์อันดับ 1 ของเว็บค้นหาข้อมูลในไทยได้อย่างดี นั่นย่อมหมายความว่า การซื้อโฆษณา adword จาก google ยังจัดเป็นช่องทางสำคัญสำหรับการขายสินค้าและบริการออนไลน์ของคนไทยอยู่
2. เว็บไทยที่ติด 1 ใน 25 ของ Alexa และมาติด 1 ใน 5 ของ truehits ด้วย ก็มี sanook, mthai, kapook, dek-d, และ manager.co.th ...  แต่เจ้า dek-d กับ manager.co.th นั้นดันสลับตำแหน่งสูงต่ำกันซะอย่างนั้น อันนี้เป็นตัวบอกได้ชัดเลยว่า การวัด traffic ของเว็บจริงๆ นั้น ยังไม่สามารถทำให้สมบูรณ์ 100 เปอร์เซ็นต์ได้ คราวนี้ถ้าเราจะไปซื้อโฆษณาตามหน้าเว็บพวกนั้น ก็ต้องมาคิดกัน ว่าเราจะให้ความสำคัญกับ rank ของ alexa หรือ truehits มากกว่ากัน (แต่จริงๆ ผมว่ามันก็แพงทั้งคู่)
ถ้าเราสามารถนำลิงค์ของเรามาวางไว้ที่เว็บ top 25, top 10 เหล่านี้ จะนับว่าเป็นการสร้าง backlink ที่ดีเลย ซึ่งน่าจะช่วยเพิ่ม traffic ให้กับเว็บของเราอย่างมากแน่นอน และน่าจะช่วยทำให้เราไต่อันดับในหน้าการค้นหาของ google ได้อีกด้วย .... แต่ว่า เราจะทำได้อย่างไร??
ง่ายๆ เลยนะ dek-d.com นี่แหละที่น่าสนใจ เพราะมีหน้าเว็บที่เปิดให้เขียนนิยาย บทความอยู่ฟรี ... แต่ถ้าไม่สนด้านนี้ จะเปลี่ยนมาเขียนแบ่งปันประสบการณ์หรือพวก know how ใน bloggang ของพันทิป (อันดับ 25 ใน alexa) ก็ได้นะครับ ... ถ้าไม่ถนัดการเขียนจริงๆ ก็อาจจะต้องใช้แรงหน่อย ก็คือต้องมาโพสต์ขายสินค้ากันที่ sanook.com นั่นแหละ (แต่อันนี้ต้องเข้ามาเพิ่มและอัพเดตบ่อยมากๆ)
แต่เว็บเขียนบล็อกตัวที่สนใจจริงๆ กับเป็นเจ้า blogspot เพราะแม้ว่าจะเป็นเว็บภาษาอังกฤษ มันกลับติดอันดับ 8 เว็บยอดนิยมของคนไทยที่จัดอันดับโดย Alexa (และก็ติดอันดับเจ๋งๆ ในระดับโลกด้วย) ซึ่งก็แน่นอน เพราะมันเป็นบล็อกของ google ไง แถมยังยอมให้เราติด adsense หรือจะทำ affiliate ขายสินค้าให้กับ amazon ก็มี tool ให้ใช้ง่ายๆ ... ดังนั้น ถ้าจะขายสินค้าให้ต่างชาติผ่านบล็อกเลือกเจ้า blogspot.com แน่นอน
อันที่น่าสนใจอีกเรื่องก็คือ มีเว็บบริการร้านค้าออนไลน์ของไทยติดอันดับ top 25 ของ alexa อยู่ตัวเดียว นั่นคือ weloveshopping นั่นเอง  จึงเป็นไปได้ว่าเว็บร้านค้าออนไลน์อันอื่นอาจอยู่ในอันดับต่ำลงไปไม่มากนัก ดังนั้น ถ้าจะเป็นเจ้าของร้านที่อยากเปิดขายสินค้าออนไลน์ ก็คงลองพิจารณาเปิดร้านกับ weloveshopping ดูก่อนใคร แต่จะตัดสินใจเลือกใช้บริการไหมนั้น ไม่แน่ใจ เพราะยังมีปัจจัยอื่นๆ เช่น บริการ ราคา ฟังก์ชัน ฯลฯ


อย่างไรก็ตาม การทราบอันดับคร่าวๆ ของเว็บก็น่าจะช่วยผู้ใช้อย่างเราๆ ได้พอสมควร เช่น การเลือกเว็บไซต์ที่โพสต์โฆษณาสินค้า หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกคนค่ะ
จาก... exitcorner.com

เปิดร้านค้าออนไลน์ ต้องเตรียมตัวอย่างไรกันบ้าง??


1. เตรียมสินค้าที่จะขาย รายละเอียดให้เรียบร้อย
2. มีเว็บไซต์สำหรับขายของหรือ เปิดร้านกับเว็บไซต์ต่าง ๆ  
            
        หากต้องการมีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง ต้องเตรียมการจดโดเมนและโฮสติ้ง วิธีที่ง่ายที่สุดในการทำเว็บไซต์นั้นคือ ใช้ร้านค้าสำเร็จรูปในการจัดการหน้าร้าน ซึ่งเราสามารถเพิ่มสินค้าจัดหมวดหมู่ ใส่รูปภาพ หรือจัดการเว็บบอร์ด ซึ่งในตอนนี้มี CMS ฟรี ๆ มากมายที่สามารถตอบสนองตรงจุดนี้ได้เป็นอย่างดีค่ะ
        
  3. ทำการตลาดแบบง่าย ๆ เช่น โพสต์ตามเว็บบอร์ดฟรี แต่ถ้ามีงบประมาณมากพอก็สามารถทำ Google Keywords หรือ Facebook Advertise

จากข้อมูลข้างต้นก็ยังไม่สามารถทำให้เราสามารถขายสินค้าได้มากพอ เพราะหากเราเลือกสินค้าที่มีขายกันทั่วไป อย่างเช่น เครื่องสำอาง เสื้อผ้า แฟชั่น ก็ต้องใช้การแข่งขันที่สูงขึ้น  ซึ่งหากมีความรู้ในตัวสินค้า แต่ไม่มีความรู้ทางการตลาดก็อาจไม่สามารถตอบสนองยอดขายที่โดดเด่นได้เลยค่ะ